ผู้ถาม : ขอโอกาสหลวงตาและพี่ทีมงาน โยมได้ฟังไฟล์ที่หลวงตาบอกว่า มีพระนั่งสมาธิแล้วเห็นเสือ จึงหลับตาแล้วท่อง โธ ๆๆ คำเดียว ทำให้โยมระลึกถึงคืนที่โยมไปเข้าฝึกด่านเด็ดดอกไม้พระอรหันต์ โดยทางวัดเค้าให้โยมไปนั่งในกระท่อมกลางป่าคนเดียว เป็นเวลา 2 ช.ม. โดยใจร้ายมากให้นั่งกับศพจริง ๆ ที่อุทิศร่างมาเป็นพ่อครูแม่ครู
ตอนที่เค้าพากันกลับไปหมดเหลือโยมนั่งอยู่คนเดียว ตอนแรกก็ภาวนา ยุบหนอ พองหนอ ติด ๆ ขัด ๆ เพราะกลัวผีมาก ภาวนายังไม่ครบ 5 นาที ผีหลอกเปิดฝาโลง ลุกเดินกันรอบ ๆ ตัวโยม ได้ยินเสียงชายหญิงพูด เสียงไม่เหมือนคน แต่คล้าย ๆ เป็นคลื่น ๆ พลังงานบอกไม่ถูก โยมตกใจกลัวหลับตาปี๋ ยุบไม่เอาแล้ว ท่องแต่ หนอ ๆๆ คำเดียว เหมือนพระองค์ที่หลวงตาเล่าให้ฟังเลยค่ะ
ขอโอกาสหลวงตาว่าโยมไม่มีเจตนาจะอวดอุตริค่ะ มันมีสภาวะธรรมเกิดขึ้น แต่โยมไม่แน่ใจว่าคือนิมิต หรือธรรมมาสอนค่ะ คือว่าภาวนาหนอ ๆ ไปสักพัก จิตมันดับหมดความรู้สึกเหมือนเราหายไปเลย นานเท่าไหร่ไม่ทราบ
แล้วโยมสะดุ้งเพราะว่า มันมีเสียงของตัวเอง ตะโกนบอกเสียงดังว่าเฮ้ยทำผิดแล้ว ไม่ใช่ ๆ ออกมา ๆ โยมได้ยินดังนั้น ก็ค่อย ๆ แหวกจิตตัวเองออกมารับรู้ถึงความกลัวผีอีกครั้ง ตอนนั้นผีก็หลอกไม่ยอมหยุดทั้งเสียง ทั้งกลิ่น โยมก็โมโหตัวเองว่า จะออกมาทำไม อยู่ในนั้นก็ดีอยู่แล้ว ออกมาให้ผีหลอกอีก อันนั้นคือสภาวะที่ 1ค่ะ
ก่อนที่โยมไปฝึกที่วัด ก่อนหน้านั้นทำสมาธิก็ไม่เป็นอะไรเลย ไม่รู้เรื่องจิตเรื่องใจอะไรเลยสักอย่าง โยมขอโอกาสหลวงตาช่วยอธิบายถึงสถาวะที่โยมเจอ ว่ามันจริงหรือหลอก แล้วใครที่มาบอกให้โยมออกมาค่ะ สาธุค่ะ
และต่อจากนั้นก็ภาวนา หนอ ๆ ต่อ โยมตั้งสัจจะว่าจะไม่ยอมหยุดพักหายใจ เด็ดขาดคืนนี้ขอยอมตายในนี้เลยเพราะกลัวผีมาก ผีหลอกไม่หยุด พอภาวนาสุดลมหายใจเฮือกสุดท้าย หลวงตาคะ อันนี้คือสภาวะสุดท้ายที่เจอค่ะ พอยอมตายลมเฮือกสุดท้ายหมดลง จิตมันหลุดผละ ทิ้งร่างเลย เหลือแต่จิตดวงเดียว หมดความรู้สึกทางกาย แล้วลมหายใจขาดผึง โยมคิดว่า อ้อนี่เราคงตายแล้วจริง ๆ แต่ก็ไม่เสียใจเลย จิตมั่นคงนิ่งสงบอยู่อย่างนั้น สักพัก ได้ยินเสียง สาธุ ดังลั่นป่าช้าเลยค่ะ โยมก็รู้อยู่อย่างนั้นจนหมดเวลา แล้วทางวัดก็มารับค่ะ ขอโอกาสหลวงตาช่วยตอบให้โยมทราบหน่อยค่ะว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันคืออะไรคะ มันค้างคาใจอยู่ตลอดเลยค่ะ
หลวงตา : เป็นอย่างนั้น มันรู้เองเห็นเองแล้ว ไม่ต้องถาม ไม่ต้องสงสัยไป มันจะเป็นธรรมเมา ฟุ้งซ่าน
ให้มีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ สักแต่ว่ารู้ในปัจจุบันขณะ
หรือ รับรู้อะไรในปัจจุบันขณะทั้งภายนอกและภายใน ไม่ติด ไม่ยึด ไม่หลงเหม่อเผลอเพลินติดไป
พิจารณาให้มาก ๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ว่าร่างกายและจิตใจ หรือ รูป นาม หรือ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณมีความเสื่อมไป ดับไป ต้องตายแตกดับไป ไม่เหลือตัวตน จนใจยอมรับความจริงนี้
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2562