ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา ตื่นมาตี 5 มันกลับมาเดินมรรคเพื่อเห็นความจริงของสังขารใหม่ มันรู้แต่ว่าทุกข์กับสังขารทั้งหลายเหลือเกิน และความทุกข์นั้นก็ดับไม่ได้ ยิ่งค้นหาสาเหตุว่ายึดอะไร อยากได้อะไรที่เป็นเป้าหมาย มันทำแบบที่เคยทำแล้วสิ้นปรุงแต่ง แต่ครั้งนี้มันกลับทำไม่ได้ พยายามเท่าไหร่ มันไม่อาจเห็นความจริง และมีความทุกข์อีก
สุดท้ายก็เลิก นอนต่อก็แล้วกัน
แล้วก็นอนไป เป็นการนอนที่ไม่ได้คาดหวังสิ่งใด
ไม่ได้มีสติ ไม่ได้รู้ใด ๆ ทั้งสิ้นก่อนนอนด้วยซ้ำ
ต่างจากการนอนที่ผ่านมา มันจะมีสติ จะรู้ตัวตอนนอนเสมอจนหลับ
แต่ครั้งนี้ มันไม่ได้ตั้งใจที่จะรู้ตัวอีกแล้ว
มันก็ฝัน แต่มันไม่เหมือนฝันเลยเจ้าค่ะ
มันเห็นตัวเรา เดินผ่านอะไรก็ไม่รู้ ที่มันไม่ได้สมมติว่าเป็นสิ่งใด รู้สึกว่ามันเป็น "สิ่ง" สิ่งหนึ่ง
ขณะที่ยังไม่ผ่าน "สิ่ง" นั้น เป็นตัวเป็นตน แต่เมื่อเข้าใกล้มาก "สิ่ง" นั้น กลับกลายเป็นความโปร่งแสง ท้ายที่สุดมันเพียงแค่ "ฝ่า" สิ่งนั้นไป และมันก็แตกสลายเป็นเพียงอณูของฝุ่น
มี "สิ่ง" ต่าง ๆ ผ่านเข้ามาเรื่อย ๆ ทีละอัน แล้วแตกสลาย
เหมือนตัวเรา (ที่ไม่ได้สมมติว่าเป็นตัวเรา) เดินผ่านห้วงของความคิดและอารมณ์ ผ่านห้วงมายาทั้งหมด ผ่านมาและสลาย ผ่านมาและสลาย
ในฝันไม่ได้ มีสมมติ หรือปรุงแต่งธรรมใดเลย
เมื่อตื่น และมีสติเท่านั้น มันจึงเข้าใจธรรมที่ฝัน
บางที ลูกเข้าใจผิดมาตลอด ว่าตื่น คือ การมีสติ คือการปฏิบัติ คือทำให้เรา "ตื่นรู้" ความจริงแห่งมายาฝัน
แต่แท้ที่จริง ในมายาที่ลึกซึ้งที่สุด กลับเป็นการ "ตื่นรู้" และ "เข้าใจธรรม" นั่นเอง ที่ลูกมองไม่เห็น และยึดถืออยู่
มันไม่ได้มีความแตกต่างระหว่างการหลับและการตื่นเลย สภาวะทั้งหลาย ก็คือ มายาหนึ่ง
หลวงตา : อ่าน พิจารณาให้ดี ๆ ในปุจฉา-วิสัชนา ที่ส่งซ้ำอีกครั้งข้างล่างนี้
“ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตา รู้ มีแต่รู้เห็นในปัจจุบันขณะ ไม่ยึดถืออะไรเลย มันพูดยาก มันพูดไม่ออก ขณะที่เขียนก็เห็น (คือรู้ไม่มีผู้เห็น ไม่มีผู้รู้ มันคืออาการความรู้สึก รู้ ว่าว่าง ก็ว่าง รู้ว่าคิดก็คิด ไม่คิดก็รู้ ว่าง จากอวิชชาก็รู้ คืออนัตตา เพราะมันไม่มีอะไรเจ้าค่ะหลวงตา กราบนมัสการเจ้าค่ะ
หลวงตา : พิจารณาให้ดี ยังมีความรู้สึกว่าเราเป็นผู้รู้ที่ไม่ปรากฏตัวตนของผู้รู้ หรือ เราคือธาตุรู้ที่เป็นสุญญตา หรือ เรานิพพาน
แต่ถ้าสังเกตพิจารณาให้ดี ๆ จะเห็นตามที่หลวงตาบอกได้
ว่ามีเราเป็นธาตุรู้ เป็นสุญญตา เป็นนิพพานที่คิด ปรุงแต่งได้
ดังนั้น จึงไม่ใช่ “จิตบริสุทธิ์” ที่เป็นธาตุรู้ เป็นธรรมธาตุ
เป็นสุญญตาธาตุ เป็นนิพพานธาตุ
เป็น วิสังขาร เป็นอสังขตธาตุ เป็นอสังขตธรรม
ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีตัวตน ไม่มีเครื่องหมาย หรือที่หมาย ไม่มีรูปสัญลักษณ์
ไม่เกิดดับ หรือ ไม่เกิดตาย ไม่อาจถูกทำลายได้
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ไม่ใช่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ
ไม่ใช่อรูปฌาน
ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่งอยู่
ส่วนผู้ที่คิด ปรุงแต่ง วิเคราะห์ วิจารณ์ วิจัย ตรึกตรอง พูดพากษ์อยู่ในใจ หรือ ในผู้รู้นั้น
มันเป็นสังขารปรุงแต่ง เป็นอวิชชา”
ผู้ถาม : อ่านธรรมของหลวงตา เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ
ที่เห็นในฝัน ก็คือ ธรรม อันหนึ่ง
แค่เมื่อตื่น กลับยึดถือ การรู้เห็น แบบไม่ปรุงแต่งแบบนั้น
กลับยึดถือ ว่าตัวเรารู้เห็นแบบนั้น
กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ
ไม่มี แม้สิ่งนั้น
ไม่มี แม้รู้นั้น
ใช่ไหมเจ้าคะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2562