ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ตอนนี้ทุกสิ่งกลับมาเหมือนเดิมแต่ไม่เหมือนเดิมเจ้าค่ะ กลับมาอ่านธรรมะและฟังธรรมบ้าง แต่เป็นการฟังที่ไม่ได้พยายามทำความเข้าใจเพื่อให้ get อะไรขึ้นมา
มันต่างไปจากเดิม แต่ตอนนี้เป็นแบบนี้ เพราะทุกสิ่งที่เป็นภาษามันไม่ใช่ของจริง ถึงจริงก็จริงแบบสมมุติ จริงแบบสังขารปรุงแต่ง นำมาใช้ประโยชน์เท่านั้น
แต่ถ้าจะมีความรู้อะไรขึ้นมา ไม่ต้องพยายามใด ๆ มันรู้ขึ้นมาเอง จึงไม่ใช่ไม่รู้ มันรู้และรู้ว่าจะทำอย่างไรกับสมมุติ แม้ “ความรู้” ก็รู้ในความจริงของธรรมชาติ
ทุกอย่างเป็นเองโดยไม่ต้องดิ้นรน ค้นหา พยายาม หลัง ๆ มานี้ แม้เมตตามากแต่ใจกลับไม่มีอะไร กอดน้อง กอดพี่ด้วยเมตตาให้กำลังใจ
แต่ “ใจ” ไม่มีอะไรเลยยยย ไม่มีอะไรเลยยยย จะว่ามันแห้งแล้งก็ไม่ใช่เจ้าค่ะ ในความไม่มีอะไรเลย มันไม่ได้มีอารมณ์อยู่
และที่รู้ได้อีกอย่างเจ้าค่ะ เหมือนอุเบกขามันมีกำลังมาก แต่เมตตาไม่ได้หายไป ตอนนี้เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ มันไม่หา “นิพพาน” มาให้ใจเจ้าค่ะ
หนูน้อมกราบแทบเท้าองค์หลวงตาที่เมตตาหนูมาโดยตลอดเจ้าค่ะ หากมีสิ่งใดที่หนูคิด พูด กระทำด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ขอความเมตตาองค์หลวงตาดุ ด่า ว่ากล่าว ด้วยเจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ผู้ถาม : เหมือนขณะจิต ๆ หนึ่งทุกอย่าง ทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งความเป็นกลาง ทั้งความว่างเปล่า มันมีอยู่ แต่ไม่รู้มันอยู่ไหน มันไม่มีตัวตนจริง ๆ เลยค่ะ แค่เห็นตามความเป็นจริงที่มันของมันเช่นนั้น
หลวงตา : สาธุ ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ก็ไม่มีตัวตนของผู้ยึด
มันก็เป็นความรู้ของธรรมชาติ
เมื่อไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีตัวตนของผู้ยึด ก็ไม่มีกิเลส ไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562