ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ หลังจากผมพาลูกไปกราบหลวงตาที่เชียงใหม่ ระหว่างเดินทางกลับก็สนทนาธรรมกัน ผมเริ่มอธิบายลูกว่า ตัวเราเป็น ๆ นี้ ความจริงมีอยู่สองส่วน คือส่วนที่เป็นกายเนื้อ และส่วนที่เป็นจิต
ส่วนที่เป็นจิตก็แยกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นจิตเดิมแท้หรือความว่างตามธรรมชาติ และอีกส่วนหนึ่งคือ จิตที่เป็นสังขารปรุงแต่ง
ส่วนที่เป็นสังขารนี้มันเกิดขึ้นในจิตที่เป็นความว่างเปล่า ส่วนที่เป็นสังขารนี้ คือ ความคิดของเรา ความคิดของเรามันเกิดขึ้นในความว่างเปล่า เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เหมือนเมฆที่ลอยผ่านท้องฟ้าไป
และอธิบายต่อไปว่า ทั้งกายเนื้อและจิตทั้งสองส่วนนี้เป็นธรรมชาติ ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา ที่เข้าใจว่าเป็นเรา เพราะตัวจิตที่เป็นสังขารมันหลงไปยึดเอาว่ากายเนื้อและกายจิตเป็นเรา ซึ่งลูกก็เข้าใจตรงกัน
แล้วลูกก็ถามว่าพระอรหันต์โกรธได้หรือเปล่า เพราะเคยได้ยินพระเทศน์ว่าพระอรหันต์ก็โกรธเป็นแต่ไม่เอา คือโกรธแล้ววาง ผมก็อธิบายว่า ความจริงพระอรหันต์น่าจะไม่โกรธ
อาการโกรธที่ท่านแสดงออกมาน่าจะเป็นอาการทางกายมากกว่า เป็นเหมือนแสดงละครมั้ง ความจริงในใจท่านจะไม่มีความโกรธสักนิดเลย และผมอธิบายลูกต่อไปว่า
เมื่อเราเห็นว่าความคิดปรุงแต่งที่เกิดในใจเป็นสังขาร เราก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เรา เราเห็นมัน สังขารนั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ และยกตัวอย่างว่า เช่น เมื่อมีใครมาด่าเรา ทันทีที่หูได้ยินก็จะส่งเข้าไปถึงใจ และใจก็จะปรุงแต่งว่า เขาด่าเราและจะปรุงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ปรุงว่าเขาไม่น่าด่าเราทั้งที่เราดีกับเขาอย่างนี้ แล้วก็จะปรุงเป็นความโกรธต่อไป หนักขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเราก่อกองไฟเล็ก ๆ แล้วเติมเชื้อไฟไปเรื่อย ๆ มันก็เป็นกองไฟใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าเราไม่มีสติไปเห็นมันว่ากองไฟนั้นมันเป็นแค่สังขาร ไฟโทสะนั้นก็จะเผาเราให้ทุกข์เรื่อย ๆ แต่เมื่อมีสติไปเห็นเข้า กองไฟนั้นแม้จะใหญ่สักเท่าใด เมื่อเทียบกับความว่างเปล่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้วก็เป็นกองไฟเล็กนิดเดียว แล้วเมื่อเห็นมันเข้า กองไฟนั้นก็จะหดตัวลงและมอดดับไปในที่สุด แล้วผมอธิบายต่อไปว่า ความจริงจิตปรุงแต่งในใจเรานั้นมันเกิดขึ้นและดับไปทุกขณะ มันไม่ได้เกิดแล้วปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวเหมือนกับที่เราคิดและรู้เห็นในปัจจุบันหรอก
สาเหตุที่เราเห็นมันเป็นความคิดยืดยาวเป็นเพราะเราเห็นจิตยังไม่ละเอียด นอกจากนี้เป็นเพราะเรามีสัญญา จำได้ว่าเมื่อกี้มันปรุงอะไร แล้วมันก็ปรุงแต่งต่อไปจนเป็นไฟกองใหญ่อย่างที่อธิบาย ความจริงเมื่อเรามีสติดีพอ เมื่อมีคนด่า หูได้ยิน จิตรับรู้แล้วมันก็ปรุงขึ้นมานิดหนึ่ง เมื่อเราเห็นตอนนี้เสียแล้วมันก็ปรุงต่อไปไม่ได้ ความโกรธก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
ดังนั้นพระอรหันต์จะไม่โกรธ แล้วลูกก็โต้แย้งว่า “พ่อทำเหมือนไปกดความโกรธไว้ไม่ให้มันเกิด ความจริงเมื่อมันโกรธก็รู้ว่ามันโกรธ ปล่อยให้มันเกิด ก็เพียงแต่รับรู้มันไปตามธรรมชาติเท่านั้น เพียงแค่เรารับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไปตามธรรมชาติก็เพียงพอแล้ว” แต่ผมพยายามอธิบายว่า ผมไม่ได้ไปกดความโกรธไว้ แต่มันยังไม่ทันได้โกรธ มันแค่ขยับก็เห็นมัน จะว่าไปกดไว้ได้อย่างไร แต่ลูกก็ยืนยันว่าสิ่งที่ผมปฏิบัติมันเหมือนกับฝืนธรรมชาติ ซึ่งลึก ๆ แล้วผมคิดว่าที่ผมสอนลูกนั้นถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามผมก็กลัวพลาด จึงกราบขอเรียนถามหลวงตาว่าผมสอนลูกถูกไหมครับ และถ้าผิดพลาดจะแก้ไขอย่างไรครับ
หลวงตา : ความเห็นของลูกชมพู 12 ขวบ ถูกต้องแล้ว
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2562