ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ วันนี้เห็นความจริงว่าส่วนของการยึดถือ สายใยที่มันไปยึด แม้ว่าบางคราวดูแน่นหนาเหลือเกิน แต่ที่แท้แล้ว มันกลับเป็นส่วนของความเข้าใจผิดทั้งสิ้น
ไม่มีใครเลยที่ใช้ให้เราไปยึด ก็ตัวเราเป็นคนสร้างมันขึ้นมา และไปให้ค่าสำคัญมั่นหมายกับสิ่งนั้นเอง
แท้จริงแล้ว ผู้สร้างสายใยนั้น มันไม่ได้มีอยู่ สายใยนั้นจึงเป็นเพียงมายาของใจเท่านั้น
เมื่อความเห็นตรงนี้มันแจ้งขึ้นมาที่ใจ มันกลับเห็นต่อเนื่องไปว่า ส่วนของความสงบ สว่าง ว่าง ฟุ้งซ่าน เศร้าหมอง พอใจ ไม่พอใจ ชอบ ไม่ชอบ ทั้งหมด เป็นส่วนของจิต
ในส่วนของการรับรู้ สิ่งเหล่านั้นตามความเป็นจริง ได้แต่รู้สิ่งนั้น โดยไม่อาจเคลื่อนไหวได้
กลับเป็น ส่วนของ "ใจ"
จิต อยู่ส่วนจิต
ใจอยู่ส่วนใจ
การปฏิบัติทั้งหมดเกิดขึ้น เนื่องจาก จิต ยังเป็นผู้ไปเสวยความสุข ความทุกข์ เมื่อยังมีความทุกข์อยู่ เขาย่อมหาทางเจริญมรรค เพื่อให้ตัวเขา อยู่อย่างสงบร่มเย็นเรื่อยไป
แต่ใจ ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่อใดเป็นใจ มันสงบร่มเย็นด้วยธรรมชาติของมันเอง
จิตจึงสิ้นการดิ้นรน การปฏิบัติไปโดยอัตโนมัติเจ้าค่ะ
การปฏิบัติทั้งหมด จึงจบลงที่ใจ
ซึ่งมันจะมีทั้งสองส่วน
คือ การที่ "จิต" เข้าใจและยอมรับความจริง เห็นความจริงของจิตเอง อย่างแจ่มแจ้ง ว่าการไปเสวยสิ่งใดก็เป็นทุกข์ มันจึงไปกินความคิด กินอารมณ์กินธรรมน้อยลง จนเลิกเสวยไปด้วยตัวของเขาเอง
เมื่อจิตไม่หลงไปเสวยสิ่งใด จิตก็ไม่หลงเป็นจิตปรุงแต่ง
มันก็มีธรรมชาติอยู่สองอย่าง
คือ ใจ และ จิตที่ไม่ทุกข์ สงบร่มเย็นในตัวของมันอยู่ เพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ
มันเป็นธรรมชาติสองอย่าง ที่แตกต่างกัน แต่มันอยู่ด้วยกันอยู่
การใช้ชีวิต ดำเนินชีวิต จึงเป็นธรรมแท้ ๆ
ธรรม ทั้ง "วิสังขาร"
ธรรม ทั้ง "สังขาร" ทั้งหมดที่ใช้ชีวิต เป็นธรรมทั้งแท่ง บริสุทธิ์ปราศจากเครื่องเศร้าหมองจริง ๆ เจ้าค่ะ
เหมือนวงรอบ ของการหลงไปเป็นสังขาร การเดินมรรค จนถึงจุดที่เห็นความจริง และหลุดจากมรรค มันงวดเข้าเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ แต่ละวงรอบ กินเวลาที่สั้นลง เหมือนโดนดูดเข้าสะดือทะเล ที่กำลังจะเข้าสู่ใจกลาง ที่เป็นความว่าง
ธรรมมันหมุนเร็ว และมีกำลังแรง พัดพาทุกสิ่ง ทุกคนที่มันเข้ากระแสได้ เข้าไปด้วย
ส่วนคนที่คนละขั้ว จะโดนพัดออก
แต่ละครั้งที่เป็นความว่างเปล่า ไม่มีตัวตนเลย โลกธาตุสะเทือน มากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อวานก็มีฝนตกหนัก จนเป็นพายุ เฉพาะบริเวณศาลากลางน้ำที่นั่งอยู่ เป็นชั่วโมงเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : จิตผู้รู้อาการ หรือ สภาวะธรรมในปัจจุบันขณะ นั้นแหละ เป็น “อวิชชา”
ผู้ถาม : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ หลวงตา
แค่รู้ ถึงแม้ไม่ได้ปรุงแต่งว่า เป็น ตัวเราไปรู้
แค่ "รู้" มันเป็นอวิชชาแล้ว เคลือบอยู่ละเอียดมากจริง ๆ เจ้าค่ะ
อวิชชา มันอยู่กับ "รู้" นั่นเอง
มันซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เพราะมีตัวเราอยากออกจากมัน
อยากให้มัน "รู้จริง" ไม่ใช่ "รู้ปลอม" เพื่อหวังบางอย่าง แต่ความปรารถนานั้น กลับทำให้ติดอยู่ใน "รู้ปลอม ที่ปลอมจนเหมือนจริง" เรื่อยไป
มันผลิตธรรมออกมามากมายจริง ๆ แต่ใจกลับไม่อาจสงบได้เลยเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2562