ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ วันนี้เอาสังขารมาส่งหลวงตาเลยเจ้าค่ะ
ที่หลวงตาสอนว่าต้องให้รู้จากใจ แต่ในขั้นการทำความเพียรอยู่นี้ ยังต้องมีผู้รู้ไปรู้อยู่ไหมเจ้าคะ
คือยังมีเราเป็นผู้รู้อยู่ ต้องทำยังไงเจ้าคะหลวงตา ถึงจะเป็นการรู้จากใจ มันต้องเกิดเองเป็นเองไม่ใช่หรือเจ้าคะ
ต้องไม่มีการพยายาม ตั้งใจ จงใจ เจตนา แล้วในขั้นทำความเพียรนี้จะทำยังไงเจ้าคะ
ธรรมหลวงปู่ดูลย์ที่หลวงตาเมตตาส่งมาวันนี้
การเพียรนั้นเราก็ยังต้องมีสติ ท่านบอกว่าให้อยู่กับตัวรู้ตลอดเวลา ตัวรู้ก็คือสตินั่นเอง เราก็จะต้องใช้สติรู้ตัว มันก็เหมือนมีเราเป็นผู้รู้อยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะหลวงตา
แล้วที่หลวงตาบอกว่ายังมีตัวเราเป็นอวิชชาแอบแฝงอยู่ ก็รู้อยู่เจ้าค่ะว่ายังมี แต่หลวงตาก็เคยบอกว่า อย่างสมมุติเราอยากไปปัญจคีรี เราก็ต้องมีความอยาก เราถึงจะไปปัญจคีรี
แต่เมื่อเราไปถึงปัญจคีรีแล้ว เราถึงจะไม่อยากหนะเจ้าค่ะหลวงตา
กราบขอเมตตาจากหลวงตาช่วยชี้แนะสอนสั่งด้วยเจ้าค่ะ ตอนนี้ผู้รู้กำลังสับสนอยู่เจ้าค่ะหลวงตา
และที่หลวงตาบอกว่าให้อยู่นิ่ง ๆ เพื่อคอยดูอะไรที่เกิดดับอยู่ในใจ การที่จะให้อยู่นิ่ง ๆ จริง ๆ นี้มันก็ยังมีตัวเราไปกระทำอยู่นะเจ้าคะ
เพราะธรรมชาติจริง ๆ มันจะอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้เลยเจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตา : ยังหลงยึดถือว่ามีตัวตน มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา
ที่อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจ อยากปล่อยวาง อยากว่างเปล่า อยากพ้นทุกข์....
อยาก อยาก อยาก...... และ อยาก
สิ้นอยาก ก็ สิ้นตัวตน
สิ้นหลงว่ามีตัวตน มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ก็ สิ้นผู้อยาก
..... พ้นทุกข์ นิพพาน
ผู้ถาม : ความหลง ที่ติดกับความรู้ เป็นเศษกรรมที่ยังต้องรับใช่ไหมเจ้าคะ
มันต้องรับสิ่งที่มันเป็นมาแล้ว
ได้แต่รู้ไปเท่านั้น ไม่อาจทำให้มันดับไปจริง ๆ
หลวงตา : “ความหลง” ดับได้ขาดสนิท เมื่อเกิดปัญญาวิมุตติ คือความรู้แจ้งในสัจธรรม คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขึ้นมาที่ใจ
“ปัญญาวิมุตติ” เปรียบเหมือนแสงสว่างที่เกิดขึ้นที่ใจ เพียงแค่ขณะจิตเดียว ก็สามารถขับไล่อวิชชา ซึ่งเป็นความมืดบอดในใจให้หมดไป จนสิ้นความหลงยึดมั่นถือมั่น
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2562