ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ หนูกราบขอความเมตตาองค์หลวงตาพิจารณาคำตอบ ที่เกิดขึ้นมาได้จากคำถามในไลน์แอดเจ้าค่ะ
ซึ่งเป็นเรื่องของจิตเดิมแท้ที่หนูเคยคิดจะกราบเรียนถามองค์หลวงตา แต่ยังไม่ทันได้มีโอกาสกราบเรียนถาม ก็พอดีมีคำถามนี้มาก่อนเจ้าค่ะ
หนูตอบออกมาจากใจจนน้ำตาร่วง ข้างในสะเทือน ขอความเมตตาองค์หลวงตาพิจารณาด้วยเจ้าค่ะ ว่ามีสิ่งใดคลาดเคลื่อนจากธรรมไหมเจ้าคะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
คำถามโยม :
กราบนมัสการพระหลวงตาเจ้าค่ะ โยมติดตามพระหลวงตาทางไลน์มา 1 ปีกว่าแล้วเจ้าค่ะ
โยมนั่งสมาธิแล้วกายระเบิด กายแตกละเอียดแล้ว โยมก็เห็นดวงจิตเป็นแสงสวางจ้าอยู่แล้ว โยมจึงได้รู้ว่ากายกับจิตนั้น เวลากายดับจิตไม่ดับ แล้วก็สงสัยว่าแล้วคนที่เห็นกายจิตแยกกันนี้เป็นใคร
แล้วโยมถึงบางอ้อว่าเป็นสังขารถูกไหมเจ้าคะ จิตเดิมแท้เขาจะนิ่งอยู่เป็นเจิดจ้าเจ้าค่ะ โยมเข้าใจถูกไหมเจ้าคะ กราบพระหลวงตาเจ้าค่ะ
ตอบคำถามคุณบุญเทียน โดยทีมงาน :
สาธุ สาธุ
เมื่อระเบิดกายแล้ว จะพบจิตที่เป็นดวงสว่างจ้านั้น คือ จิตเดิมแท้ที่สว่างไสว ประภัสสร จิตดวงนี้คือ จิตอวิชชาที่เป็นตัวตั้งต้นของจิตปรุงแต่งทั้งหลาย
แต่ไม่ได้ให้ไปทำลายเค้า เพียงแต่ให้มีปัญญาเห็นว่า … ในความนิ่งที่สว่างจ้านั้น จิตดวงนี้เป็นสิ่งที่ถูกรู้ถูกเห็น จึงนำมาเล่าได้ว่า … จิตเดิมแท้เค้าจะนิ่งอยู่อย่างเจิดจ้า
ยังคงเป็น “ความมี” จึงเป็นธรรมชาติฝ่ายสังขารปรุงแต่ง ยังตกอยู่ภายใต้สมมุติ เพราะเมื่อสิ่งใดที่เกิดมีขึ้นมาให้รับรู้ได้ ย่อมดับไปในที่สุด ไม่มีสิ่งใดเลยที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่ดับไป
จึงไม่หลงยึดถือว่าจิตเป็นเรา เราเป็นจิต หรือ ไม่หลงยึดถือว่าจิตที่เกิดและดับได้นี้ เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ส่วนผู้ที่มารู้มาเห็นว่า … กายระเบิดแล้วมีจิตที่นิ่งและสว่างจ้านั้น ตัวมันคือธาตุรู้ที่ไม่มีตัวตนของผู้รู้ ธาตุรู้นี้เป็นธรรมชาติฝ่ายวิสังขาร มีชื่อเรียกมากมาย เช่น อสังขตธาตุ นิพพานธาตุ สุญญตาธาตุ อมตธาตุ ธรรมธาตุ... ฯลฯ
- ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่สังขาร คือ เป็นธรรมชาติที่ไม่มีความรู้สึก นึก คิด ปรุงแต่ง หรือ มีอารมณ์ต่างได้
- เป็นสิ่งที่ไม่เกิด ไม่ดับ
- ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์ใดปรากฏ
- ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดอยู่
- ไม่อาจถูกรับรู้ได้ทางอายตนะภายใน
- ไม่อาจถูกทำลายได้
- ไม่ได้มีขึ้นเพราะมีการเกิด และ ไม่ได้ดับไปเพราะการตาย หรือ
- ไม่ได้เกิดขึ้นในขณะจิตเป็นวิชชา และ ไม่ได้ดับไปในขณะจิตเป็นอวิชชา
ดังนั้น … ตราบใดที่ยังมีขันธ์ห้าอยู่ ก็จะยังมีจิตที่สว่างไสวดวงนี้ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นของความปรุงแต่ง แต่ตัวมันไม่ปรุงแต่ง (ไม่แสดงออกเป็นการคิด นึก ตรึก ตรอง) เป็นเพียง “ความมี” ที่ปรากฏ แต่นิ่งอยู่ ตัวปรุงทั้งหมดออกมาจากมัน ทุกอย่างปรุงออกมาจากจิตดวงที่สว่างไสวนี้
ตรงท่อนนี้น้ำตาร่วงเลยเจ้าค่ะ ข้างในมันสะเทือนเจ้าค่ะ
ในคนทั่วไปที่ยังไม่สิ้นอวิชชานั้น จิตที่สว่างไสวนี้จะยังไม่สิ้นหลงว่ามีตัวมีตน ยังเป็น “จิตอวิชชา” จิตยังคงยึดถือตัวเอง จึงเกิดความรู้สึกว่ามีตัวเรา เมื่อมีตัวเราก็มีของเรา เมื่อมีตัวเราก็มีตัวเขาตามมา ยังหลงว่าในธรรมชาติมีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
แต่ในพระอรหันต์ท่านสิ้นอวิชชา คือ จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า … จิตที่สว่างไสวนี้เองก็เกิดดับ ยังตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นดวงสมมุติ จิตสิ้นหลงยึดถือในตัวเอง เป็นดวงจิตที่ไฟแห่งโลภะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะมอดดับลงแล้ว เป็น “จิตวิชชา” คงเป็นดวงสมมุติที่สิ้นหลงยึดถือสิ่งใด ๆ ให้ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป
ดังนั้นพระอรหันต์จึงยังมีจิตที่เป็นดวงสมมุตินี้ แต่เพราะอวิชชาดับแล้ว สิ้นหลงยึดถือว่าจิตเป็นตัวเป็นตน และรู้อย่างถึงใจแล้วว่า … จิตที่สว่างไสวนี้เป็นสิ่งเกิด ๆ ดับ ๆ ยังเป็นสมมุติ จึงไม่มีการหลงยึดถือจิตนี้อีกเลย จิตที่สว่างไสวนี้ก็เป็นธรรมชาติฝ่ายสังขารปรุงแต่งไป
เมื่อถึงเวลาที่ธาตุแตกขันธ์ดับ ร่างกายที่เป็นธาตุสี่นั้นก็แตกแยกกลับคืนสู่ธรรมชาติ คือ ธาตุดินกลับคืนสู่ธาตุดิน ธาตุน้ำกลับคืนสู่ธาตุน้ำ ธาตุลมกลับคืนสู่ธาตุลม ธาตุไฟกลับคืนสู่ธาตุไฟ ส่วนจิตดวงสมมุติก็ดับลง (วิญญาณขันธ์) คงเหลือเพียงใจที่เป็นธาตุรู้ เป็นวิญญาณธาตุ เป็นธรรมธาตุ เป็นอมตธาตุ เป็นนิพพานธาตุ ที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีตัวตนปรากฏ เป็นดั่งความว่างของอวกาศ ไม่มีกิริยาอาการใด ๆให้ถูกรับรู้ได้เลย ก็กลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของจักรวาล หมดสิ้นการเวียนว่ายตายเกิดให้ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป
ส่วนคนทั่วไปที่ยังมีอวิชชา จิตยังหลงว่ามีตัวมีตน มีตัวจิตตัวใจ เมื่อตายแตกดับ ร่างกายที่เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ก็แตกกลับคืนสู่ธรรมชาติ ส่วนจิตใจที่เป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณที่เป็นส่วนของขันธ์ห้าก็ดับลง แต่ตัวธาตุรู้นั้นยังไม่สิ้นหลงว่ามีตัวตน ยังคงมีอวิชชาห่อหุ้ม จึงเป็นปฏิสนธิวิญญาณให้ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดตามบุญบาปที่ทำมาสืบต่อไป
หนูน้อมกราบแทบเท้าองค์หลวงตาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ ถูกต้องแล้ว
ผู้ถาม : ข้างในมันน้ำตาร่วง เหมือนความจริงจะเปิดเผย ปกติการตอบคำถามมาก็ไม่เคยเป็นแบบนี้เจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
มันพูดขึ้นมาว่าตัวมันคือตัวไม่ปรุงแต่ง แล้วมันก็ร้องไห้ จริง ๆ มันคือตัวปรุงแต่งเจ้าค่ะ ทุกอย่างจบผ่านไปหมดแล้วเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หนูน้อมกราบแทบเท้าองค์หลวงตาอย่างสูงสุดที่เมตตาหนูมาโดยตลอด กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา :
***** สิ่งใดที่ถูกรู้ได้ แม้แต่จิตผ่องใส จิตอัศจรรย์ที่สุด จิตสว่างไสวเพียงใดก็ตาม ล้วนเป็นสังขาร คือ สิ่งปรุงแต่งทั้งหมด ย่อมตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
***** ส่วน เราเป็นผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้บรรลุ ผู้ถึงธรรม ก็เป็นสังขารเหมือนกัน และเป็น “อวิชชา” ซึ่งเป็นหัวขบวนของปฏิจจสมุปบาท
***** ส่วนใหญ่ จะหลงยึดถือเอาจิตสว่างไสว เป็น นิพพาน พระนิพพาน
***** หรือมิฉะนั้นก็หลงยึดถือเอาผู้รู้นี้ เป็น นิพพาน
***** “นิพพาน” เหนือ หรือ พ้นสังขารรูปนามทั้งหมด และ ไม่ใช่ผู้รู้นี้
***** “นิพพาน” ไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย
(หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต)
***** เปรียบเหมือนกับว่า
เราเพียรมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา และขันติ จนขึ้นถึงจุดสูงสุดของยอดเขาที่สูงที่สุดในสามภพ คือ กามภพ รูปภพ และ อรูปภพ จึงสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่ง
***** เราที่อยู่สูงที่สุดแล้วนั้น .... แต่ความจริงยังไม่ที่สุดของความสูง เพราะส่วนที่เหนือเราขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย นั้น ย่อมรู้ตัวเรา (ขันธ์ห้า หรือ กายสังขาร วาจาสังขาร จิตตสังขาร) และเหนือกว่าเราขึ้นไป สิ่งนั้น ไม่มีอะไร ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกรู้ได้ ไม่อาจถูกทำลายได้ เป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ
เป็นมหาสุญญตา เป็นนิพพาน
ผู้ถาม : เราที่อยู่สูงที่สุดแล้วนั้น คือ ตัวสมมุติที่ไฟดับแล้ว (ขันธ์ห้าบริสุทธิ์) ใช่ไหมเจ้าคะ
หลังจากส่งการบ้านองค์หลวงตาแล้วมันก็รู้ขึ้นมาว่า ...
ตัวอวิชชาคือภวังคจิต จิตปรุงแต่งคือวิถีจิต
มันขึ้นมาสั้น ๆ แค่นี้ แต่ข้างในมันเข้าใจเจ้าค่ะ และเมื่อได้อ่านที่องค์หลวงตาเมตตาสอนมา มัน get และ ชัดเจนขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ
ตัวอวิชชา คือ ตัวภวังคจิต (ที่เป็นผู้รู้ ผู้ดู ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ผู้รู้แจ้ง ผู้บรรลุ ผู้ถึงธรรม)
ส่วนจิตที่ปรุงแต่งเคลื่อนไหว คือ วิถีจิต (จิตที่แสดงกิริยาต่าง ๆ เป็นความสว่างไสว ผ่องใส ฯลฯ)
ทั้งภวังคจิตและวิถีจิต จึงเป็นธรรมชาติฝ่ายสังขารปรุงแต่งทั้งคู่
ความจริงที่สูงที่สุดนั้น … เหนือผู้รู้ขึ้นไปเป็นความไม่มีอะไร เป็น “รู้” ที่ไม่มี “ผู้”
ไม่มีแล้ว .... คำพูด
มันจะน้ำตาร่วงอีก น้อมกราบขอบพระคุณองค์หลวงตาอย่างสูงสุด กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2562