ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง หนูขอโอกาสขอความเมตตาขอคำชี้แนะ คำสั่งสอนจากองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
ที่เพียรอยู่ตอนนี้คือพิจารณามรณานุสติในแง่มุมต่าง ๆ เจ้าค่ะ ก็ลงแก่ใจมากขึ้น ใจสงบร่มเย็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ การแผ่เมตตาทุกครั้งก็สัมผัสได้ว่าออกไปได้ไกลมากขึ้นเจ้าค่ะ หนูจะพิจารณาความตายสลับกับทำสมถะรู้ลมหายใจเจ้าค่ะ ระหว่างวันก็เพียรให้มีสติต่อเนื่องมากที่สุดเจ้าค่ะ
เมื่อวานกับวันนี้รู้สึกว่า มีความเงียบมากทั้งภายนอก ภายใน หนูก็ไม่ได้สนใจความเงียบนะเจ้าคะ แค่รู้ว่าเงียบแล้วก็พิจารณาความตายไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าหนูผิดทางธรรมตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ ขอคำสั่งสอนชี้แนะจากพ่อแม่ครูอาจารย์ด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : ถูกแล้ว เอาใจที่เงียบสงบ พิจารณาให้เห็นความจริงว่าร่างกาย และ จิตใจ เป็นเพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และธาตุรู้ (วิญญาณธาตุ) ตามธรรมชาติ มารวมกัน เพราะจิต หรือ วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ มี “อวิชชา” คือ ความไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าร่างกายและจิตใจเกิดมาจากการผสมปรุงแต่งของธาตุต่าง ๆ ตามธรรมชาติดังกล่าว
จึงไปหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ซึ่งเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน.... จึงเป็นเหตุให้เกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ หรือ เกิดตาย และ ความทุกข์ทั้งมวล ไม่จบสิ้น
เมื่อสิ้น “อวิชชา” ตัณหา อุปาทานก็ดับ หรือ เมื่อรู้ความจริงแล้ว ความโง่ หรือ ความหลงยึดถือก็ดับไป เมื่ออวิชชาดับ สังขารกรรมก็ดับ วิญญาณกรรมก็ดับ นามรูป สฬายตนะ
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวลก็ดับพร้อม เรียกว่า “นิพพาน”
เพราะฉะนั้นจะ “นิพพาน” ต้องหายโง่ (สิ้นอวิชชา) อย่างเดียว
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณในความเมตตาขององค์หลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ หนูจะเพียรให้ต่อเนื่อง น้อมถวายการปฏิบัติบูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ องค์หลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ อย่างไม่ท้อถอยเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ เพียรให้รู้แจ้ง รู้จริง จนสิ้นสมมติ จึงจะสมกับที่ถวายตัวเป็นลูกของพระพุทธเจ้า
ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา หนูจะเพียรให้เห็นจริงสมกับที่เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นลูกศิษย์หลวงตาเจ้าค่ะ ยังประโยชน์ตนจนถึงที่สุด ยังประโยชน์ท่านตามที่หลวงตาทำให้ดูเสมอมาเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2562