ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงตาค่ะ ขอโอกาสส่งการบ้านค่ะหลวงตา
ในการปฏิบัติ ก็มีถูก ๆ ผิด ๆ ค่ะหลวงตา แต่ว่าเห็นสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงได้มากขึ้น ถ้าหลงก็แค่ทุกข์ หายหลงทุกข์ก็ไม่มี
เห็นอวิชชาที่เป็นตัวเราชัดเจนขึ้นค่ะ ... แรก ๆ ก็พยายามดิ้นรน ทำปล่อยวาง แอบปล่อยวาง หาวิธีสารพัด เพราะทนเห็น ทนรับรู้ว่ามีตัวเราไม่ได้ คิดว่าถ้ากำจัดมันหายได้ “เรา” สบายแน่ ...
สุดท้ายก็เข้าภาวะจนตรอกค่ะ อาการมันเหมือนจะไปข้างหน้าก็ไปไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้แล้ว ทำอะไรไม่ถูก ก็อยู่แบบเก้อ ๆ งง ๆ ไปพักใหญ่ค่ะ ... จนท้ายที่สุดมันค่อย ๆ ยอม ค่อย ๆ ปล่อยของมันไป ...
ธรรมชาติค่อย ๆ สอนให้เห็นว่า มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง ไม่มี “เรา” ที่จะสามารถเข้าไปบังคับ บงการอะไรได้ ... เมื่อมีเราเข้าไปยึดเกาะอะไรทุกข์ก็เกิดเป็นธรรมดา ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง
สิ่งที่ปฏิบัติตอนนี้คือ อยู่กับพุทโธ (อยู่กับพระพุทธเจ้าค่ะ) ให้มากที่สุด จะภาวนาพุทโธ มีสติเกาะกับพุทโธ เมื่อคิดก็รู้แล้วก็กลับมาที่พุทโธค่ะ
ศิษย์มีความตั้งใจ ขอเป็นจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่ง ที่สามารถทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ให้กับศาสนาได้บ้างตามกำลังความสามารถ ... ขอเมตตาจากหลวงตาช่วยชี้แนะ ให้โอกาสกับศิษย์ด้วยนะคะ
กราบเท้าหลวงตาเหนือเกล้าค่ะ
หลวงตา :
กิเลส เกิดที่ใจ ดับที่ใจ
ความสุข ความทุกข์ เกิดที่ใจ ดับที่ใจ
ความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง เกิดที่ใจ ดับที่ใจ
จิตตสังขารทุกปัจจุบันขณะ เกิดที่ใจ ดับที่ใจ
ให้เฝ้าสังเกตเห็นที่เกิดดับของจิตตสังขารอย่างเงียบเชียบจริง ๆ ก็จะพบเห็นใจ ซึ่งเป็นที่เกิดดับของจิตตสังขาร ว่ามันว่างเปล่า มันว่างเปล่าเหมือนดังท้องฟ้าหรืออวกาศ แต่ได้หุ้มห่อจิตตสังขารทั้งหมดไว้ภายใน
พบใจ พบธรรม
ถึงใจ ถึงนิพพาน
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2562