ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะหลวงตา กราบพระพุทธ กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบพ่อ แม่ครูบาอาจารย์เจ้าค่ะ หนูยอมรับกับหลวงตาค่ะว่าหนูยังมีความเพียรไม่มากพอ ที่จะเห็นจิตของตัวเองในทุกปัจจุบันขณะค่ะ บางครั้งเห็น บางครั้งก็ไม่เห็น เพราะหลงเหม่อเผลอเพลินเจ้าค่ะ
มีอยู่วันหนึ่ง หนูเดินออกกำลังกาย สังขารทำงานซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่มีมา พอจิตไปหลงคิดไปสักพัก โดยที่จิตมองไม่เห็นผู้พากษ์ หลงไปอยู่กับสิ่งที่ถูกรู้ พอสักพักได้สติว่าหลงไปก็กลับมาเจ้าค่ะ แล้วมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่านั่นไงหลงคิดไปแล้ว สังขารนะนั่น ตัวคิดตัวพากษ์นั้นคิดค่ะ ฮั่นแน่ รู้ทันแล้วนะว่าเป็นสังขาร หลงดีใจค่ะหลวงตา แต่เอ๊ะแป๊บนึงก็มีตัวเอ๊ะ เดี๋ยวก่อน หลวงตาเคยบอกว่า รู้ไม่มีวิพากษ์วิจารณ์ ไม่มีแอ็คชั่นใด ๆ ทั้งสิ้น หนูก็อ้าว ที่คิดว่ารู้เท่าทันแล้วอยู่กับผู้รู้ ก็ไม่ใช่ค่ะ
โดนจิตหลอกว่าสังขารเป็นรู้ค่ะหลวงตา ตัวเอ๊ะว่ารู้เท่าทันก็เป็นสังขารนี่นา นั่นเป็นสังขารทั้งหมดเลยนี่นา หยุดกึกเลยค่ะหลวงตา พอเห็นความคิด ผู้พากษ์ ผู้วิจารณ์แล้วเหมือนชั่ววินาทีนั้น ความคิด ตัวพากษ์มันหยุดลงเลยค่ะหลวงตา แล้วเหมือนชั่ววินาทีนั้นไม่คิดต่อ ไม่พากษ์ต่อเลยค่ะ เหมือนวาง เหมือนเบาแค่ช่วงเสี้ยวนาทีค่ะ หลังจากนั้นก็มีผู้คิดผู้พากษ์เหมือนเดิมเจ้าค่ะ กราบหลวงตาเมตตาชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ ว่าหนูเห็นถูกต้องมั้ยเจ้าคะหลวงตา
หลวงตา : ความรู้สึกโล่ง โปร่ง เบา สบายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ให้สังเกตว่าขณะนั้น ยังมีตัวเราเป็นผู้รู้
ต้องโยนิโสฯ ไว้ตลอดเวลาว่า...
“ใจ” เป็นความไม่มีอะไร ไม่มีรูปร่าง ไม่อาจเอาอายตนะใด ๆ ไปรับรู้ได้ และไม่สามารถปรากฏกริยาอาการใด ๆ ได้ จึงไม่อาจทำความรู้สึกเบา หนัก ทึบ ตื้อหรือใด ๆ ได้เลย
“ใจ” มีหน้าที่รู้ “สังขาร” ที่เกิด ๆ ดับ ๆ ได้ เพียงอย่างเดียว
ให้เป็นรู้ออกมาจากใจที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่มีตัวจิต ตัวใจ
ไม่หลงไปเป็นสังขาร
เช่น รู้ขึ้นมาเลยว่า ขณะนี้ “นั่งอยู่” “ยืนอยู่” “คิดอยู่” โดยไม่มีเราไปรู้ เป็นความรู้ตามปกติธรรมชาติที่คนและสัตว์ก็มีอยู่แล้ว
ไม่ต้องไป “ปรุงแต่ง รู้” ซ้อนความรู้ตามธรรมชาติขึ้นมาอีก
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562