ผู้ถาม : ทบทวนตามที่หลวงตาส่งมาจนหลับก็ยังไม่เคลียร์ใจ ว่าเป็นยังไง จนตื่นมาทวนเหตุการณ์ว่าเราไปทำอะไรยังไง ก็นึกได้ว่าเริ่มจากปวดหัวนั่งรถนาน คิดงานไม่ออก อากาศร้อน เลยออกอุบายลองฟังเพลงบรรเลงคลาสสิค ก็ผ่อนคลายหายไปได้
กลับถึงบ้านมาก็เนิบ ๆ ไปเรื่อย ๆ เหมือนจะมีสงบสงัด แต่พอได้จังหวะ ก็ล็อคสเปคไว้ ก็ทำภารกิจไม่สำเร็จ !
มันเป็นสัญชาตญาณที่เราไม่อยากให้ตัวเองทุกข์จนเกินไป เลยหาเหตุผลว่า เอาอะไรมาช่วยรักษาให้อยู่กลาง ๆ ก่อน ทำไมต้องทำร้ายตัวเองด้วย
แล้วก็ยังมีความกลัวลึก ๆ ว่าจะไม่รู้ สติจะหลุดไปไกลอีก มันก็มีความระวัง ตั้งการ์ด และมันมีความไม่รู้อีก คือไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เชื่อมั่นในรู้ ว่าแค่รู้ จริง ๆ
ทุกอย่างมันผลักดันด้วยความกลัวสลับกับความอยาก มีความไม่รู้เป็นตัวยืนพื้น
การออกอุบายทุกอย่าง เทคนิคทุกอย่างก็เพื่อช่วยเหลือรักษาตัวเรา ถามว่าทำไมถึงไม่เชื่อว่าตัวเราไม่มี ทำไมจึงไม่เชื่อว่าแค่รู้จริง ๆ มันจึงวนเป็นงูกินหางอยู่นี่
เพราะว่ามันบังคับไม่ได้
เอาปัญญาความจำแห้ง ๆ มาใช้ มันก็ไม่เชื่อจริง จนมันหมดมุก
ถ้าดูตรงจุดพลังงานขับดันจากความกลัว หรือความอยากน่าจะพอไหว และก็ไม่เพิ่มจุดมุ่งหมาย ให้เป็นเครื่องทรมานตัวเองค่ะ
มันไม่รู้จักตัวเองจริง ๆ ค่ะ หลวงตา
มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่กล้า นั่นคือ เลิกทำ แต่กล้าจะเลิกทำก็ไม่ได้อีก นอกจากเลิกทำไปเลย
มันสู้ก็ไม่ได้ ถอยก็ไม่ได้ แกล้งนิ่งตายก็ไม่ได้
สรุปว่า ทำอะไรไม่ได้นะ ยอมค่ะ
มันต้องจนแก่ใจเองค่ะ หลวงตา
กราบขอบคุณองค์หลวงตาที่เมตตาส่งมาเตือนชี้ข้อผิดพลาดทั้งหมดค่ะ
หลวงตา : ไม่พยายาม “ทำ” อะไรเลย
ปล่อยให้ทุกปัจจุบันขณะในใจตน
มันเป็นอย่างที่มันเป็น
ถ้าไม่อยากให้มันเป็นอย่างที่มันเป็นในขณะนั้น เพราะไม่ชอบมัน .... ก็ทุกข์ทุกครั้งไป
ถ้าอยากให้มันเป็นอย่างที่ชอบ ไม่อยากให้มันเปลี่ยนไป หรือ กลัวมันจะเปลี่ยนไป .... ก็ทุกข์ทุกครั้งไป
“ธรรมชาติ” ถ้าไม่ขาดสติเหม่อเผลอเพลิน หรือ
หลงเข้าไปหมกมุ่นครุนคิด คิดหมกมุ่น หรือ
หลงจมติดไปกับอะไรจนลืมตัว
ก็ต้องรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในใจตนเสมอ
***** ถ้าปล่อยให้อาการทุกอาการในปัจจุบันขณะ มันเกิดขึ้นและดับไปตามความเป็นจริงอย่างที่มันเป็น
โดยไม่มีตัวตนของผู้เข้าไปยึดถือด้วยความอยาก หรือ ไม่อยาก หรือ
ไม่มีตัวตนเข้าไปพยายามทำอะไรกับเขา
กิเลสและความทุกข์ก็จะไม่มี เรียกว่า “นิพพาน”
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2562