ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาที่เคารพรักยิ่ง
วันนี้ได้ฟังธรรมเทศนาที่ท่านแสดงเมื่อคืนวานด้วยความสำนึกในพระเมตตาอันปปมัญญาขององค์ท่านเป็นยิ่งนักเจ้าค่ะ เพราะตลอดเวลาที่ป่วยคราวนี้ มันคือภาคปฏิบัติธรรมล้วน ๆ เลยเจ้าค่ะ เห็นทุกข์ กำหนดรู้ทุกข์ แต่ไม่เข้าไปเป็นทุกข์เสียเอง...ใหม่ ๆ ทำด้วยความยากลำบาก เพราะเจ็บป่วยครั้งนี้มันค่อนข้างเยอะ และไม่ได้ ป่วยมานานมากแล้วจนลืมไปคิดว่าจะไม่ป่วยอีกแล้ว แต่พอป่วยเข้าจริง ๆ ๆ อาการทุกขเวทนา ทางกาย มันรุมเร้ามากมาย กินไม่ค่อยได้ นอนไม่หลับ คัดจมูกอย่างรุนแรง ไซนัสมันอักเสบ อย่างเฉียบพลัน เสมหะไหลลงคอ เหนียวข้น ไอ ทั้งคืน ไอทีก็หอบทีหนึ่ง จนนึกว่าจะไม่ไหวเสียแล้วเจ้าค่ะ (หลังจากที่ ไม่ได้เป็นมานานมากตั้งแต่ อายุ 30 กว่า ๆ ช่วงนั้นจะเป็นบ่อยมาก) แถมอยู่คนเดียว แค่จะตะเกียกตะกาย ลงมาต้มน้ำอุ่น ชงนมกินสักถ้วยก็แทบจะไม่ไหวแล้ว..แต่อดทนเจ้าค่ะ...ไปกราบพระพุทธรูป พระธรรม และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และองค์หลวงตาในห้องพระ ขอเพียงกำลังใจให้ สู้...และขอให้เห็นแจ้งในสัจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในครั้งนี้ด้วย อย่าให้ต้องป่วยฟรี ๆ ๆ เลยเจ้าค่ะ
มีสติ กำหนดรู้ ทุกข์ ของ ทุกสภาวะเวทนา ที่เกิดขึ้น..เมื่อกำหนดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ใจก็สงบลงเรื่อย ๆ ไม่ทุรนทุรายใจ รับรู้ รับทราบ ทุกอาการ ด้วยใจที่สงบ...ความคิดฟุ้งซ่าน เหงา เศร้าสร้อย มีผุดขึ้นมาในใจ ให้ได้รับรู้อยู่เป็นระยะ ๆ แต่ไม่เข้าไปงับอาการเหล่านั้น ได้แต่กำหนดรู้ รับรู้ ไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ เวทนาทางกายก็แทบไม่ลดลงเลย มีแต่เพิ่มพูนทุกวัน เป็นอยู่อย่างนี้ 5-6 วัน จึงพอจะขับรถไปหาหมอ ที่ รพ.กรุงเทพปากช่อง ได้ยาแก้อักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรียมาทาน เพราะน้ำมูกมันเริ่มเขียวเหลืองตาม สภาวะของการติดเชื้อแบคทีเรีย
จนถึงทุกวันนี้ อาการค่อย ๆ ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังมีไอ มีเสมหะอยู่ เลยไม่สามารถไปกราบเท้าองค์หลวงตาได้อย่างที่อยากทำ ได้แต่ อยู่บ้าน ฝึกฝน ปฎิบัติธรรม เห็นความจริงของร่างกายที่มันทุกข์ ไม่เที่ยง และกำหนดควบคุมไม่ได้เลย ได้แต่เฝ้าสังเกตเห็นความจริง ที่กำลังแสดงตัวมันเองตามเหตุปัจจัยไปเรื่อย ๆ ๆ ทุก ๆ วันเจ้าค่ะ และยอมรับทุกสภาวะที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงของมัน เห็นทางแห่งความเสื่อม ความร่วงโรย ที่มันกำลังแสดงและดำเนินไปให้ดู ด้วยใจที่ยอมรับทุก ๆ อย่างอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่ ที่เราอยากให้เป็นเจ้าค่ะ
ที่องค์ท่านเทศน์ว่า ความจริงมันมีอยู่ต่อหน้าแล้ว ไม่ได้ต้องไปทำอะไรขึ้นมา มันจริงแท้แน่นอนเจ้าค่ะ ความจริงของธรรมชาติมันกำลังดำเนินไปเรื่อย ๆ ความเสื่อม ความเจ็บ ความแก่ และก็ความตาย กำลังเดินเข้ามาให้ได้รับรู้ตลอดเวลาไม่มีผิดจากนี้เลย เพียงแต่ที่ผ่านมาเราไม่ได้หันมามองมันจริง ๆ จัง ๆ คราวนี้ได้สัมผัสกับทุกข์แท้ ธรรมแท้ จริง ๆ เลยเจ้าค่ะ
ทุกวันนี้ ฝึกใช้ คำบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ในใจ ตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาเดินจงกรมจะใช้เวลา สาย ๆ และภาคค่ำก่อน และหลังสวดมนต์ เดินจงกรม ด้วยคำบริกรรม ขณะเดียวกันจะเห็นความคิดปรุงแต่งผุดขึ้นมาเป็นระลอก ๆ ตามเหตุปัจจัยกระทบ จิตตั้งมั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ใจสงบลงเร็วขึ้น มากขึ้น ง่ายขึ้น การเห็นความคิดเกิดเอง ดับเอง โดยไม่ต้องเข้าไปแทรกเอง ทำได้มากขึ้น ระหว่างวันฟังธรรมองค์ท่านเป็นระยะ น้อมทำความเข้าใจถึงใจได้มากขึ้น ๆ ก็ฝึกฝนอย่างนี้ทุก ๆ วันเจ้าค่ะ ทำให้มีชีวิตอยู่ได้ อย่างไม่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เรียนรู้จักทุกข์ได้ละเอียดมากขึ้น เข้าใจชีวิต เข้าใจธรรมชาติตามความเป็นจริงอย่างที่มันต้องเป็นเจ้าค่ะ ไม่ใช่ในแบบที่เราอยากให้เป็น
ไม่แน่ใจว่าองค์ท่านจะมีเวลาอ่านไหม .แต่ก็อยากกราบส่งการบ้านว่าที่หายไปไม่เคยไม่ทำการบ้านเจ้าค่ะ เดี๋ยวนี้ทำทุกวันเห็นคุณค่าที่องค์ท่านสอนสั่งมากมายว่า เอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง ๆ เจ้าค่ะ ไม่ได้มโนเหมือนเมื่อก่อนที่ชอบเรียนธรรมเหมือนอยู่บนหอคอยยังไงยังงั้นเจ้าค่ะ แต่ปฎิบัติไม่เป็น แต่ ตอนนี้เข้าใจถึงใจ สามารถเอาธรรมะที่เรียนมามาใช้แก้ทุกข์ได้จริง ๆ เจ้าค่ะ
กราบเท้าองค์หลวงตามาด้วยความเคารพรักอย่างสูงสุด ขอธาตุขันธ์องค์ท่านแข็งแรง ๆ ๆ ๆ นะเจ้าค่ะ
หลวงตา : เจ็บป่วยสาหัสเป็นโอกาสทอง โอกาสทอง ที่จะพิจารณาเห็นสัจธรรม เอาให้จริง เอาให้จริง……..
รถไฟเที่ยวสุดท้ายแล้ว อย่าปล่อยมือ อย่าปล่อยใจจากสัจธรรม มือจับมือ ใจเหนี่ยวใจในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ อย่าทิ้งกันจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
ผู้ถาม : ค่ะ สาธุ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2566