ผู้ถาม : กราบนมัสการครับองค์หลวงตา
ผมมีความเข้าใจในสัจธรรมดังนี้ ในความว่างประกอบไปด้วยธรรมชาติที่ปรุงแต่ง (สังขาร) และธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร)
ส่วนสังขารแบ่งได้ 2 ประเภท คือสังขารที่มีวิญญาณครองและสังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง
วิสังขารคือวิญญาณธาตุ หรือในความว่างประกอบด้วยสสาร พลังงาน วิญญาณธาตุ หรือในความว่างประกอบไปด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ
ดังนั้น โลกนี้จึงเป็นของว่างเปล่า ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
วิญญาณธาตุมี 2 ประเภท คือ วิญญาณธาตุที่มีอวิชชา และวิญญาณธาตุที่ไม่มีอวิชชา (ธรรมธาตุ)
ดังนั้น "ขันธ์ 5" จึงไม่ใช่อวิชชาและนิพพาน ส่วน "ใจ" ที่เป็นความว่างก็มีสิ่งเหล่านี้บรรจุอยู่เหมือนกัน
วิญญาณธาตุ ก่อนที่จะเป็นธรรมธาตุล้วนมีอวิชชาครอบงำมาแต่ต้น มันจึงต้องไปเรียนรู้สัจธรรมความจริงตามภพน้อยภพใหญ่นับชาติไม่ถ้วน เพื่อสะสมความรู้สะสมบุญบารมี จนเห็นทุกข์เห็นธรรม เพื่อเข้าสู่กระแสพระนิพพาน
ผ่านกระบวนการทำลายความเห็นผิด (อริยมรรค) จนอวิชชาดับ จนกลายเป็นธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ ไปรวมกับธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ได้ในที่สุด
ดังนั้นในวิญญาณธาตุจึงมีความรู้ บุญบารมี ความเมตตาที่สะสมมานับชาติไม่ถ้วน เพื่อมาใช้ทำลายความเห็นผิดในชาติสุดท้ายนี้ เมื่อทำลายอวิชชาได้ ความรู้ บุญบารมี ความเมตตาก็ไม่หายไปไหน มันจะไปรวมอยู่ในธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมธาตุทั้งหลายนั้นเอง
ข้อคิดเห็นนี้ผิดพลาดประการใดขอองค์หลวงตา โปรดเมตตาชี้แนะแก้ไขด้วยครับ
หลวงตา : สาธุ
“อวิชชาดับ” คือ สิ้นหลงยึดขันธ์ห้าเป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา และสิ้นหลงยึดใจ จิตหรือวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ว่าเป็นสิ่งที่มีสิ่งใดให้ยึดได้
แม้เข้าใจว่า ใจ จิต หรือวิญญาณธาตุเป็นสิ่งไม่มีสิ่งใดปรากฏ (เป็นเหมือนกับความว่างของธรรมชาติ) แต่ถ้ายึดเป็นตัวเรา เป็นของเราเช่นเราว่าง จิตหรือใจของเราว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของธรรมชาติก็เป็น "อวิชชา"
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563