ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
เช้านี้มาให้เห็นต่อหน้าต่อตาเลยเจ้าค่ะ ไม่ใช่สภาวะอะไรหรอกแต่คือความโง่ที่มีอยู่เองเจ้าค่ะ
มันทุกข์กับการต้องดำรงอัตภาพนี้เพื่อผู้อื่น เพราะคิดไปเองว่าถ้าขาดสนิทไม่มีอะไรเลยภายในใจ ดูเป็นสิ่งอันตราย ไม่รู้ว่าจะส่งผลต่อโลก ต่อคนที่รายรอบอย่างไร
ตัวเรา (อวิชชา) เลยต้องรักษาอัตภาพนี้ไว้ (ภาระ/การกระทำ) เพื่อผู้อื่น (ติ่งพุทธภูมิ ต่อให้จะเห็นธรรมยังไง ตรงนี้ก็ยังแสดงเชื้ออยู่ เบื่อมันจริงๆ เลยเจ้าค่ะ)
โดนหลอกทั้งกระบินั่นเลย
จริงๆ ส่วนลึกในใจที่มันรู้สึกทุกข์ หนักอกหนักใจที่ต้องแบกอะไรไว้ แม้ความเป็น "ตัวเอง" ในสมมติ ความทุกข์มันไม่ได้เกิดจากของที่แบก แต่ความทุกข์ที่รู้สึกว่า "แบก" อยู่ มันกลับมีเหตุมากจากการที่ตัวเราไม่อยากแบกอะไรต่างหากเล่า ความทุกข์ ที่ตัวเรายังมีสมมติ มันก็เป็นจากตัวเองโหยหาการสิ้นสมมติ
ปากบอกว่า สิ้นสมมติไม่ได้ๆ เดี๋ยวคนอื่นเดือดร้อน แต่แท้จริงใจตัวเองมันอยากจะสิ้นสมมติต่างหากเล่า
ปากบอก โอย ต้องเสียสละแบกตัวเองไว้เพื่อผู้อื่น แสดงว่าใจจริงมันอยากจะวาง มันไม่ได้อยากจะแบกเพื่อผู้อื่นจริงๆ หรอก แต่ฝืนอยู่ หลอกตัวเองอยู่
คนที่เป็นพุทธภูมิแท้ๆ ไม่ได้แค่ติ่งเนี่ย เขาจะไม่มีความรู้สึกแบบนี้ใช่ไหมเจ้าคะ เขาจะทำเพื่อผู้อื่นได้ "โดยไม่รู้สึกว่ามันขัดแย้งอยู่ในใจตน" ทำได้โดยไม่มีคำถาม ทุกข์ได้โดยไม่เอ๊ะอ๊ะอะไรทั้งนั้น
แต่นี่...ใจเรามันไม่ได้เป็นแบบนั้น หรือเป็นแล้วมันถอนไปก็ไม่รู้ แต่ถ้าถอนได้ แปลว่าไม่ได้เป็นจริงๆ
สรุป คือเลิกวุ่นวายหลอกตัวเองได้แล้ว มันเป็นอย่างไรมันก็คืออย่างนั้น และปล่อยให้สิ่งที่หลอกอยู่ กลายเป็นความปรุงแต่งไปเสีย
และเห็นความจริงว่า ไม่ได้มีตัวเราที่มันเป็นตัวตนคงที่แบบนั้นจริงๆ พุทธภูมิที่ถอนได้ ความปรารถนาที่เปลี่ยนแปลงได้ มันแสดงความไม่เที่ยงอยู่แล้วในตัวมันเองเจ้าค่ะ
แต่ที่พิมพ์ไป ลูกว่าเป็นความลับของธรรมชาติ ของ "จิต" เลยเจ้าค่ะ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าความทุกข์เกิดจากภาระที่แบกอยู่ จนวันหนึ่งภาระนี้หมดไปจะไม่ต้องทุกข์ ที่ต้องแบกอะไรอีกแล้ว แต่จริงๆ มันไม่ได้เกิดจากภาระ แต่เกิดจาก "ความอยาก" ที่จะไม่ต้องแบกอะไรภายในใจ "ความอยาก" ที่จะให้ใจสิ้นทุกอย่าง แต่นั่นก็เห็นชัดๆ ว่ามีตัวใจอยู่
ขอแค่เห็นความจริงที่ใจว่า อ้อ ที่แท้ตัณหาเป็นต้นทุกข์ มันก็ไม่อยากแล้ว พอ ไม่อยากแล้ว แต่พอความอยากหายไปปุ๊บ "ภาระ" ที่แบก และ "ใจที่สิ้นภาระ" มันกลับหายไปด้วยกันเลยเจ้าค่ะ
เป็นเคล็ดลับที่ช่วยให้คนพ้นทุกข์จริงๆ เพราะจะไปทำไปเคลียร์ให้หมดภาระน่ะ ของยาก ชีวิตนี้ทำได้หรือเปล่ายังไม่รู้ แถมสิ้นภาระแล้ว แต่ยังต้องรักษาใจที่ไม่มีภาระอะไรอีก
แต่ถ้าสิ้นตัณหา พอเป็นไปได้ ไม่เหนือวิสัยความเป็นมนุษย์ นี่คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ความลับของธรรมชาติที่ช่วยปลดปล่อยความทุกข์ในใจคนและสรรพสัตว์
ด้วยศรัทธาในธรรมของพระพุทธเจ้า และบารมีที่สร้างมามันถึงพร้อม จึงมีผู้ตรัสรู้ตาม (คือ เห็นตามตรงนี้ รู้ความลับนี้ และเปิดเผยส่งต่อความลับนี้ให้ผู้อื่นได้รู้ด้วย) เป็นอนุพุทธะเจ้าค่ะ
มันมีตัวตนผู้รู้แจ้ง เป็นสังขารเกิดดับเจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตา : อะไร อะไร มันก็รู้หมดแล้ว... แต่มันจะเอายังไง
ผู้ถาม : นั่นสิเจ้าคะหลวงตา มีมาเพิ่มอีกแล้ว
ธรรมปรากฏว่า การไม่ทุกข์เพราะความตาย ไม่ใช่เป็นเพราะว่า พอตายปุ๊บจะมีตัวเราไปเป็นความไม่เกิดไม่ตายในธรรมชาติ (แบบที่เคยเข้าใจ) แต่เป็นเพราะในความเป็นจริง มันเห็นธรรมที่พระพุทธองค์บอกว่า เราไม่ได้เกิด เราไม่ได้ตาย แต่เรา (ความเป็นเรา) แค่ปรากฏขึ้นมา และเรา (ความเป็นเรา) ได้หายตัวไป
มันหายตัวไปจริงๆ คือความเป็นเรา มันแค่เกิดขึ้นและหายตัวไป มันเห็นตามตรงนี้เลยเจ้าค่ะ แต่มันต้องมีตัวตนรองรับธรรมที่เห็นแน่ๆ เพราะมันฟุ้งซ่านในธรรมอันละเอียด (หมายถึง แม้จะเป็นธรรมที่รู้อยู่ในใจ ไม่ใช่ภายนอก แต่มันฟุ้งอยู่ตรงนี้เองเจ้าค่ะ) มันต้องกัดติดจดจ่อลงไปว่า ผู้รู้ธรรมก็ไม่เที่ยง คือ เกิดมารองรับธรรมในขณะนั้นเท่านั้น
เมื่อธรรมนั้นดับ ผู้รู้ธรรมก็ดับลง
หลวงตา : มันพาหลงวนในวัฏสงสารเป็นขณะจิต (ปฏิจสมุปบาทวงเล็กซึ่งเป็นปัจจุบันขณะ) แล้วจะเป็นปฏิจสมุปบาทวงใหญ่ ไปเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์ เพราะแปลประโยคในหนังพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกที่ว่า........
“เรา ไม่ได้เกิด เราไม่ได้ตาย แต่เรา (ความเป็นเรา) แค่ปรากฏขึ้นมา และเรา (ความเป็นเรา) ได้หายตัวไป”
ในหนังใช้คำว่า “ตถาคต” ไม่ได้หมายถึงเรา หรือตัวเรา (ตัวพระพุทธเจ้า) เพราะธรรมชาติแต่เดิมแท้วิญญาณธาตุ เป็นธาตุหนึ่งตามธรรมชาติ เหมือนกับธาตุดิน มีคุณสมบัติเป็นของแข็ง ธาตุน้ำ มีคุณสมบัติเป็นของเหลว ธาตุลม มีคุณสมบัติเป็นมวลอากาศเคลื่อนไหว ธาตุอากาศ มีคุณสมบัติว่างเปล่าไม่มีขอบเขต เป็นความว่างในธรรมชาติหรือจักรวาล ธาตุรู้ มีคุณสมบัติรู้ แต่ไม่มีอะไรปรากฏเลย มันจึงแทรกซึมอยูในทุกธาตุในธรรมชาติ และ ในสรรพสัตว์ก็มีธาตุดังกล่าวเป็นองค์ประกอบ ซึ่งธาตุทุกธาตุรวมทั้งธาตุรู้ หรือ วิญญาณธาตุ ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
แต่เมื่อธาตุรู้ ไม่รู้แจ้ง (อวิชชา) ในเรื่องนี้ จึงหลงคิดปรุงแต่งสร้างธาตุรู้ มีรูปลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เป็นดวงใส ดวงสว่าง ดวงว่าง แล้วยึดเป็นตัวเรา ของเรา
ซึ่งธรรมชาติจริงแท้ ไม่มีจิต ใจ หรือ วิญญาณธาตุที่เป็นตัวเรา ของเรา เขาเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติที่มีความรู้ในตัวเอง แต่ไม่ปรากฏให้ยึดถือได้
เมื่อเกิดความรู้แจ้ง (วิชชา หรือ หายโง่) ว่าธรรมชาติจริงแท้ไม่มีตัวจิต ตัวใจ ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ปรากฏให้ยึดถือเป็นตัวเรา ของเราได้
ถึงแม้จะโง่ (อวิชชา) หรือ หายโง่ (วิชชา) ธาตุรู้ ซึ่งมีชื่อสมมติว่าจิต ใจ พุทธะ ก็เป็นธาตุตามธรรมชาติที่ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่เคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง
มันจึงไม่ได้เกิด ไม่ได้ตาย
แต่เมื่อยังไม่สิ้นอวิชชา ธาตุรู้ จิต ใจ พุทธะ หรือ ตถาคต จึงปรากฏตัวในร่างมนุษย์ เปรต อสุรกาย สัตว์ สัตว์นรก เทวดา เปลี่ยนไปเรื่อยตามกรรมให้เป็นทุกข์ ซึ่งมีอวิชชา ตัณหา อุปาทานเป็นเหตุสมุทัย
เมื่อสิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จึงไม่ต้องปรากฏในร่างอื่นๆ (เหมือนกับการสิงอยู่ในร่าง) ในภพภูมิต่างๆ อีกต่อไป
ดังนั้น ตถาคต หรือ พุทธะ จึงไม่ได้เกิด ไม่ได้ตาย เมื่อสิ้นอวิชชา (หายโง่) จึงไม่ต้องปรากฏในร่างใดอีก แต่เป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ แทรกซึมอยู่ในทุกธาตุ
แต่ระหว่างที่ธาตุรู้ ยังไม่สิ้นอวิชชา ต้องเวียนว่ายตายเกิดในร่างภพภูมิต่างๆ ก็ต้องคิด หรือ ปรุงแต่งสร้างกรรมดี กรรมชั่วทางกาย วาจา จิต สั่งสมเป็นอาสวะ กิเลสเครื่องดองสันดาน ซึ่งมาจากอนุสัย ความเคยตัวเคยใจ
ถ้าสั่งสมกรรมดี ก็เป็นบารมี เชื่อมต่อกับกระแสเมตตาธรรม ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวก เป็นธรรมจักรพาหมุนวนเข้ากระแสธรรม หมุนวนสวนทางกิเลส ซึ่งพาหมุนเข้าวัฏสงสาร
จนกว่าจะสิ้น "อวิชชา" (หายโง่) การหมุนทั้งวัฏสงสาร และ ธรรมจักร เพื่อช่วยให้หลุดพ้นจากวัฏสงสารก็จบลง
แต่บุญบารมีที่สั่งสมมาซึ่งรวมกับพุทธบารมี ธรรมบารมี สังฆบารมี เป็นพุทธานุภาเวนะ ธรรมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ ไม่ได้สูญหายไปด้วย จะรวมอยู่ในธาตุรู้บริสุทธิ์ที่ไม่ปรากฏ
แต่จะเป็นธรรมจักรหมุนเข้าไปในใจของเวไนยสัตว์ที่สั่งสมบารมีมามาก เปิดใจน้อมรับเอาพระสัจธรรมเข้าสู่ใจ
ดังนั้น ยุคสมัยใดมีหมู่เวไนยสัตว์ที่สั่งสมบารมีมาเกิดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก เมื่อนั้นธรรมจักรก็จะหมุนแรง และ เร็ว
ผู้ถาม : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะหลวงตา
ในคำว่า "เราปรากฏขึ้น และเราหายไป" ถึงจะรู้โดยสัญญาว่า ตัวเราที่ปรากฏขึ้นและหายไปมันเป็นสังขาร แต่มันมีความเป็นเราอยู่ในสังขารนั้นอยู่
แต่ "ตถาคต" มันไม่ใช่เรา
ไม่น่าเชื่อเจ้าค่ะหลวงตา มันพลาดนิ๊ดเดียว พาวนไปไกลจริงๆ
กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2563