ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะหลวงตา
ไฟล์ช่วงหลังๆ ที่หลวงตาเทศน์ละเอียดมากๆ เจ้าค่ะ... รู้สึกว่าหลวงตาเร่งสอนอยากให้ลูกศิษย์รู้ธรรมเห็นธรรมให้เร็วที่สุด จนโยมรู้สึกว่าโลกกำลังจะแตก ทำไมหลวงตาเร่งขนาดนี้ จนโยมปั่นการบ้านส่งไม่ทันเลยเจ้าค่ะ แต่โยมก็รู้สึกว่าเป็นบุญสุดๆ ที่มีโอกาสได้เป็นลูกศิษย์และได้ฟังธรรมที่หลวงตาตั้งใจเผยแผ่ให้พวกเราค่ะ
พอพิมพ์เสร็จ ก็มีคนส่งข่าวว่า จนท.ที่รู้จักถึงแก่ความตาย ไม่แปลกใจแล้วค่ะว่าทำไมหลวงตารีบ อยากให้ลูกศิษย์รู้ธรรม
เมื่อคืนฟังไฟล์ล่าสุดที่หลวงตาส่งมาจนเผลอหลับไป ฝันว่าตัวเองติดลิฟท์ อยู่ๆ ลิฟท์มันก็เคลื่อนที่เองไปชั้น 23 แล้วมันดิ่งลงมาด้านล่างอย่างเร็ว ในใจตอนนั้นมันพิจารณาเองแบบออโต้เลยค่ะ ว่าตัวเราไม่มี แบบว่ามันอธิบายเป็นลายลักษณ์อักษรไม่ตรงเท่าไร แต่ตอนนั้นมันรู้สึกว่าข้างในใจมันสงบอย่างบอกไม่ถูกค่ะ ไม่รู้สึกตระหนก ไม่รู้สึกว่ามีใจเต้น หรือมีความกลัวเหมือนที่เคยฝันแต่ก่อน แต่น่าจะยังยึดใจว่าเป็นตัวเราอยู่นะคะ
ทำให้ระลึกถึงที่องค์หลวงตากล่าวไว้
ที่เรียกว่า "ธรรม"
ความจริงแท้ไม่มีธรรม
ความไม่มีธรรมนั่นแหละ เป็นธรรมแท้
น้อมกราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
***** หลวงตา : บังคับให้มันหยุดปรุงแต่ง เพื่อให้กูพ้นทุกข์ (นิพพาน) ไม่ได้ เพราะมันเป็นสังขาร เป็นคลื่นพลังงาน ซึ่งเป็น Wave เป็น Vibration มันเป็นอนัตตา
ไม่อยู่ในบังคับของเรา มันไม่ใช่เป็นตัวเรา เป็นของเรา จึงจะบังคับมันได้
ก็คงปล่อยให้มันเกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง… เป็นไปตามธรรมชาติปกติธรรมดาของสังขารปรุงแต่ง
เมื่อมันเป็นสิ่งเกิดดับ มันจึงไม่ใช่ตัวเรา ของเรา
ไม่มีตัวเรา (กู) ตัวเขา (มึง) หรือ สัตว์ บุคคล เรา เขาที่เป็นตัวตนคงที่เป็นรูปร่าง เป็นก้อน เป็นแก่นที่เที่ยงแท้อยู่จริงๆ
มีแต่ความโง่เขลา (อวิชชา) ที่หลงยึดเอาความปรุงแต่ง (สังขาร) ที่ปรุงแต่งเป็นนามรูปสมมติขึ้นมาจากความว่าง หรือ ความไม่มีอะไร หรือ จากไม่มีอะไร เป็นปรุงแต่งเป็นความมีขึ้นมา เป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา หญิง ชาย ภรรยา สามี ลูก หลาน พ่อ แม่ พี่ น้อง
โดยปรุงแต่งสร้างจิตหรือใจ เป็นรูปนามสมมติขึ้นมาก่อน
แต่สัจธรรม ความจริงแท้นั้น จิตหรือใจ ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่แท้จริงตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่มีรูปลักษณ์ใดเลย เป็นสุญญตา เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ
อสังขตธรรม
เพราะ “อวิชชา” คือ ความไม่รู้สัจธรรม ความจริงของธรรมชาติ ว่าสิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) ทั้งหมด ทั้งคลื่นพลังงาน Wave , Vibratin แสง สี หรือ ทุกสรรพสิ่งจากเกิดขึ้น หรือ มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมาจากความไม่มี แล้วมีขึ้น มีการกระเพื่อม ไหวตัว เคลื่อนไหว ปรากฏขึ้นมาจากความไม่มี เรียกว่า “สังขาร” เป็นสิ่งปรุงแต่ง เกิดขึ้นแล้ว ขึ้นมาแล้ว ก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีเป็นธรรมดา
แม้ “อวิชชา” ซึ่งเป็นความไม่รู้ ความโง่เขลา ความหลงยึดถือสังขาร หรือ วิสังขาร เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็เป็นสังขารปรุงแต่งยึดถือที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความปรุงแต่งจิตมีรูป แล้วยึดจิตเป็นเรา เป็นของเรา
ดังนั้น เมื่อมีจิต ก็มีอวิชชา มีตัวเรา เกิดขึ้นพร้อมกัน
เมื่อหายโง่ (สิ้นอวิชชา) ก็ไม่มีจิต ไม่มีตัวเรา
“อวิชชา” เป็นสังขารปรุงแต่งที่มีการเกิดขึ้น จึงดับไปได้ โดยดับไปพร้อมกับความรู้แจ้งสัจธรรม ความจริงแท้ว่า “จิตหรือใจ” ซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้) ตามธรรมชาตินั้น เป็น “วิสังขาร” อสังขตธาตุ อสังขตธรรม สุญญตา ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกทำลาย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เป็นของเรา และ ไม่ใช่เป็นตัวเรา
*****(หมายเหตุ) :
ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ มี “อวิชชา” อยู่โดยไม่รู้ตัว คือ หลงพยายามไม่ยึดสังขาร หรือ พยายามปล่อยวางสังขาร เพื่อให้ตัวเราเป็นหนึ่งเดียวกับความว่าง โดยปักธงความว่างเป็นเป้าหมาย แล้วพยายามดิ้นรนทะยานอยากให้ตัวเราไปถึง ไปได้ เป็นเป็น ไปบรรลุถึงความว่างนั้นได้
ส่วน “สังขาร” หรือ สิ่งปรุงแต่งทั้งหมดไม่ว่าจะมีชีวิต หรือ ไม่มีชีวิต ล้วนปรุงแต่งขึ้นมา หรือ เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร (วิสังขาร)
แล้วปรากฏเป็นคลื่นพลังานในลักษณะต่างๆ กันขึ้นมา เช่น เป็นคลื่น Wave Vibratin แสง สี เป็นต้น
แล้วคลื่นพลังงานนั้นปรุงแต่งจิตหรือใจเป็นรูปสมมติที่ไม่อาจสัมผัสได้ ขึ้นมาในความว่างหรือความไม่มีอะไร
พร้อมกับเกิดความหลง (อวิชชา) ยึดเอารูปสมมติของจิตหรือใจนั้น เป็นตัวเรา เป็นของเรา
แล้วเกิดเป็นตัวเรา รูปนามที่เป็นกายโปร่งแสงสมมติขึ้นมา ซึ่งมีรูปนามสมมติที่มีลักษณะต่างๆ กันตามภพภูมิ หรือ ความปรุงแต่งยึดถือไว้ภายในใจ
จากรูปนามที่เป็นกายโปร่งแสงก็เป็นรูปนามหยาบ เช่น ขันธ์ห้าของคนและสัตว์ ซึ่งเป็นรูปนามสมมติ เกิดขึ้นแล้ว หรือ ปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว ก็ดับไป หรือ แก่ เจ็บ ตายไปเป็นธรรมดา
ความจริงสังขารทั้งหมด ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต ล้วนเป็นคลื่นพลังงานที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความว่าง
ไม่มี....เป็นมี
จากไม่มี ก็มีการปรุงแต่งเป็นรูปสมมติของจิต
จากรูปของจิต ก็ปรุงแต่งเป็นรูปนามโปร่งแสง เรียกว่ารูปนามทิพย์
จากรูปนามโปร่งแสง ก็เป็นรูปนามหยาบ เช่น รูปนามซึ่งเป็นขันธ์ห้าของมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน
*****ทั้งนามและรูปเป็นสิ่งปรุงแต่ง (สังขาร) ขึ้นมาจากความไม่มีอะไร ก็ต้องเสื่อม หรือ แก่ เจ็บ ตาย (สังขารดับ) กลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไรตามเดิม
เมื่อรูปนามสมมติหยาบ (ขันธ์ห้า) แตกดับ (ตาย)
แต่ถ้า “อวิชชา” ความไม่รู้ยังมีอยู่ จิต (ที่ถูกยึดได้) และ ตัวเรา ก็ยังมีอยู่ โดยจะมีรูปนามทิพย์ลอยออกจากร่างที่ตาย ถูกเขาพาไปรับกรรมเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
จนกว่าจะรู้แจ้งในสัจธรรม ความจริงแท้ของสังขาร และ
วิสังขาร ว่า ไม่มีตัวเราในสังขาร และ วิสังขารเลยแม้เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง
แล้วความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอด ซึ่งเป็น “อวิชชา” ก็จะหมดสิ้นไป
ดังนั้น “อวิชชา” ไม่สามารดับไปด้วยการใช้กำลัง ใช้ความพยายามดิ้นรนทะยานอยาก แต่เพราะมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร น้อมนำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ออกมาจากพระทัยอันบริสุทธิ์ จากจิตหนึ่ง สู่จิตหนึ่ง มาพิจารณาจนรู้แจ้งขึ้นที่ใจ (เกิดวิชชา) แล้ว ความไม่รู้ความโง่เขลา ความมืดบอด ซึ่งเป็นอวิชชาก็ดับไป เหมือนกับว่า เมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ใจ ความมืดก็หายไป
*****แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่อาจจะช่วยดับอวิชชาในใจของใครได้ เพียงแต่ถ่ายทอดพระสัจธรรมออกจากพระทัยอันบริสุทธิ์ ให้น้อมนำไปพิจารณาตามจนมีความรู้แจ้ง (เกิดวิชชา) ขึ้นที่ใจ แล้วอวิชชา คือ ความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอด ก็ดับไปเอง ได้ชื่อว่า เป็นผู้ตรัสรู้ตาม
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2563