ผู้ถาม : สาธุครับ หลวงตา เมื่อก่อนเห็นคำสอนของ หลวงปู่ชา “น้ำกลิ้งบนใบบัว” ก็พยายามจะ ปัดป้อง เบียดเบี่ยง รักษา ไม่ให้ความทุกข์ใดๆ ซึมลงเข้าสู่ ใจ ให้เราทุกข์
เพราะอยากให้ใจว่าง
ให้ใจไม่มีอะไร
ให้เราไม่ปวดใจ
ให้เราได้ใจที่เป็นนิพพาน
ให้ได้เป็นใจที่นิพพานถาวร
ให้มันเหมือนน้ำที่มันไม่ซึมลงใบบัว
แต่หารู้ไม่ว่ายิ่งทำอย่างนั้น มันยิ่งทุกข์... มันยิ่งทุกข์... มันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง
จริงๆ แล้ว หยดน้ำก็เปรียบเหมือนสังขาร ของที่มันจรมาแค่นั้นเอง เราไม่ต้องไปคอยไปรักษา ปัดป้องใดๆ ไว้เลย เพราะคุณสมบัติของใบบัวเค้า ซึมน้ำไม่ได้
ใจเราก็เหมือนกัน คุณสมบัติของใจ เค้าก็ไม่สามารถซึมซาบ หรือกักเก็บสิ่งใดๆ ไว้ได้เหมือนกัน เพราะใจเรามันไม่มีตั้งแต่แรก หยดน้ำ มันไม่สามารถซึมเข้าสู่ใจได้ (เพราะ สิ่งที่ปรากฏได้ ไม่สามารถซึมเข้า สิ่งที่ไม่ปรากฏได้)
เรา ก็เช่นกัน มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว พอมีสิ่งที่มาได้ปรากฏขึ้นมา มันก็ได้แต่รู้ว่ามันมีขึ้นมาแล้ว แต่ไม่สารมารถเข้าสู่ใจเราได้แล้ว เพราะเราเข้าใจและเห็นจากใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ตัวไม่มีอยู่จริง สิ่งที่มีไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มีอยู่จริง ไม่ปรากฏ และก็ไม่เคยปรากฏมาก่อน
คงมีแต่ความเชื่อที่ผิดๆ ว่าเรามีอยู่จริง ตัวเรามีเคยมีมาก่อน มันเลยต้องมาหาทางดับตัวเรา หาทางดับอวิชชา หาทางดับวงจร ปฏิจจสมุปบาท
มันไม่ต้องดับอะไรเลย มันไม่ต้องหาทางอะไรเลย เพียงแค่พิจารณาเรียนรู้ ว่า สิ่งไหนคือสิ่งที่มี สิ่งไหนคือสิ่งที่ไม่ปรากฏ ให้ใจเราได้เรียนรู้จักเค้า เรียนรู้ไปเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจเอง
แต่อย่าคิดว่า ถ้าไปเป็นใจที่ไม่ปรากฏอะไรนั่นแล้วจะสบาย เหมือนนอนอยู่บนเตียงในวันหยุดที่ไม่มีงานทำ ตัวนี้อ่ะมันเป็น ตัณหา เป็นความอยากได้ ไม่ต้องไปพูดถึง อวิชชาเลย ตายตั้งแต่ ตัณหา ด่านแรกแล้ว
มันแค่เปลี่ยนความเข้าใจใหม่เฉยๆ กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เป็นธรรมดา สามัญ เป็นธรรมชาติ อิสระ
กราบ กราบ กราบ หลวงตา ส่งการบ้านครับ
หลวงตา : มันมีอวิชชาแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในใจลึกๆ โดยแอบมีความหวัง ความปรารถนา อยากรู้ อยากเห็น อยากได้ อยากเป็น อยากเป็นใจไม่ปรุงแต่ง อยากบรรลุนิพพาน
จึงยังแอบมีความพยายามเล็กๆ เพื่อให้ถึงเป้าหมาย ตามที่มีความอยาก ความปรารถนา ความคาดหวังไว้นั้น
ซึ่งเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน โดยไม่รู้ตัว
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563