ผู้ถาม : น้อมกราบองค์หลวงตาและขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวงตาเจ้าค่ะ
หลังจากที่ลูกเพียรทำทุกขณะตามที่ตั้งใจและที่ได้รับปากองค์หลวงตาไว้ 4 วันที่ผ่านมา ลูกรับรู้ถึงใจที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไป ในทุกการกระทบภายนอก จากที่รับทุกอย่างเข้าสู่ใจ กลายเป็นลูกทุกข์มากกับทุกสภาวะแวดล้อม กลืนกินเป็นหนึ่งเดียวกับทุกข์
แต่พอได้กราบเรียนและได้ความเมตตาจากหลวงตา ลูกรู้สึก ทุกข์นั้น มันมีอยู่เรื่อย ๆ เพียงลูกแค่รับรู้เขา ไม่นำเขามาใส่ใจ เท่านั้น เขาก็ดับของเขาไป
ไอ้บ้าที่มันพูด พากษ์ ก็มีเหมือนเดิมเจ้าค่ะ แต่เขาฉลาดและเนียนมากกว่าแต่ก่อน สมัยก่อนเขาจะพาให้ลูกคิดออกนอกลู่นอกทาง แต่ช่วงสามวันหลัง เขามาแบบสวนทางเจ้าค่ะ จากร้องเพลงก็กลายเป็นบทสวดมนต์แทน อันนี้ลูกตีความไปว่า เขาก็เป็น "สังขาร" (อันนี้ลูกตีถูกไหมเจ้าคะ ?)
ตอนนี้เฝ้าสังเกตตามที่หลวงตาแนะไว้เจ้าค่ะ อะไรที่กระดุ๊กกระดิ๊กหน่อย ก็ยิงไปว่าสังขาร ๆๆๆ ยิงเรื่อย ๆ ช่วงวันแรกยิงมันเลย ส่วนวันที่สองเริ่มห่างลง วันที่สามเห็นความเฝ้าระวังและสังเกตมากขึ้น
และวันนี้ ความเงียบหนาแน่นมากกว่าทุกวันเจ้าค่ะ เจ้าตัวสังขารยังคอยอยู่รอบ ๆ ใจ แต่ลูกอาศัยลมหายใจอย่างที่หลวงตาได้เมตตาให้การบ้านลูกไว้ อยู่กับลมหายใจเท่านั้นเจ้าค่ะ
น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยความเคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : ยังหลงเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน คือ
มีตัวเราเป็นตัวเป็นตน เป็นผู้เฝ้าระวังรักษาจิตใจของเรา
มีเราเป็นตัวเป็นตนเป็นผู้กระทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเรา มีเราเป็นตัวเป็นตนเป็นผู้มีความหวัง ความปรารถนา
ผู้ถาม : วิธีการแก้ที่พ่อแม่ครูอาจารย์สอน ก็มีความละเอียดชัดเจนมากเจ้าคะ
หลวงตา : สาธุ
ผู้ถาม : โดนเจ้าค่ะ พอหลวงตาเมตตาตอบกลับมา ... ลูกยอมรับเลยเจ้าค่ะ เห็นตัวเรานั่งเป็นประธานกลางใจ ตั้งตระหง่าน แต่ไหง... ก่อนกราบเรียนหลวงตา ลูกดันไปเป็นตัวเรายิ่งใหญ่ไม่รู้ ไม่เห็นเราที่ตั้งอยู่กลางใจเลยเจ้าค่ะ
และลูกขอยอมรับเลยว่าตอนนี้ความหวังและปรารถนาที่จะปฏิบัติทำความเพียรนั้นมากขึ้น.... หวังว่าสักวันที่จะเป็นของลูก สักวันที่ลูกจะพ้นทุกข์อย่างถาวรเจ้าค่ะ... มีตัวเราเต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2563