ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ หนูเห็นอารมณ์ และผู้รู้อารมณ์มาประมาณห้าหกเดือน รู้อยู่อย่างนั้น ไม่ได้แทรกแซงหรือทำอะไร วันก่อนอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกเบื่อหน่ายการเห็นอย่างนั้น เลยปล่อยวางทั้งหมดเจ้าค่ะ
พอปล่อยแล้วโล่งสบาย พออีกวันก็เห็นก้อนตัณหามันรวมตัวกัน ก็ดูมันอยู่อย่างนั้น ก็ผุดขึ้นมาว่า มันก็เป็นของมันอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น เมื่อคืนภาวนา ก็เห็นความอยากดี อยากมีความสุข อยากได้รับการยอมรับ ก็เห็นมันอยู่อย่างนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่น จิตนิ่งเฉยมาก ๆ เจ้าค่ะ ไม่หือไม่อือ
แล้วเหมือนความมืดดำมันพลิกกลับ สามโลกธาตุมันทะลุถึงกัน ก็ดูอยู่อย่างนั้น จิตก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรเจ้าค่ะ วันนี้ก็รู้สึกว่าง ๆ สบาย ๆ มีหน้าที่อะไรก็ทำไป แต่สติค่อนข้างคมชัดมากเจ้าค่ะ กราบนมัสการหลวงตาด้วยเศียรเกล้า
หลวงตา : ให้เห็นว่าในความเบาสบาย ความว่าง มีจิตตสังขาร ซึ่งปรุงแต่งยึดถือเป็นตัวเรา ซึ่งพูดพากษ์ตลอดเวลา
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ เห็นอยู่เจ้าค่ะ แต่มันไม่ค่อยคอยจ้องเหมือนเมื่อก่อน มันเรื่อย ๆ ไหล ๆ ไป
หลวงตา : เพียรปล่อยวาง “อวิชชา ตัณหา อุปาทาน” ซึ่งหลงเอาจิตตสังขารมาคิดปรุงแต่งยึดถือในปัจจุบันขณะ เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา แล้วแสดงอาการเป็นตัวเราพูดพากษ์ ผู้เพ่ง ผู้จ้อง ผู้คอยดู คอยรู้ คอยเห็น คอยละ คอยปล่อย คอยวาง พยายามรู้เท่าทัน พยายามปล่อยวาง ดิ้นรน ค้นหา สงสัย ใคร่รู้ มีความปรารถนา ความอยาก ความหวังสิ่งใดแม้นิพพาน เป็นต้น
ผู้ถาม : เจ้าค่ะกราบหลวงตาด้วยเศียรเกล้า
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563