ผู้ถาม : รายงานการทำงานของธรรมชาติค่ะหลวงตา
เมื่อคืนขณะที่หนูนั่งสมาธิอยู่ หนูเข้าใจว่าเหมือนเห็นสภาวะ "ตัวใจที่ไม่ไหวติง และขณะเดียวกันก็เห็น อีกตัวมันเกิดความรู้ เข้าใจ คิด ตรึกตรอง (พูด ๆ) ว่าอะไรที่เคลื่อนไหวได้นั้น ไม่ใช่เรา
แล้วก็น้อมเอามาคิดต่อเป็นความรู้ (คิดตรึกตรอง) ไปมามันเกิดรู้ว่า กายที่กระดุ๊กกระดิ๊ก ๆ ก็ไม่ใช่เรา จิตที่ปรุงแต่งก็ไม่ใช่เรา
สักพัก กายนิ่งสงบ เกิด "เอะใจ" แล้วลมหายใจเข้าออก มันก็เคลื่อนตัวอยู่นี่ มันก็ไม่ใช่เรา แต่มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทำงานให้สังขารกาย ยังทำงาน
ถึงตรงนี้ เหลือแต่ ลมหายใจ กับ จิตที่ทำงาน และมีสภาวะนึงที่มันดูนิ่ง ๆ ตลอดเวลา
สักพักตัวที่คิด ตรึกตรอง ดับไป เห็นเลยค่ะหลวงตาว่ามันดับ (หยุดพูด)
แล้วตัวนิ่ง ๆ ก็เกิดอยากรู้ว่า อะไร ๆ เลยพยายามปรุงแต่งอีก
ถามค่ะหลวงตาว่า ถ้าตัวรู้ที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน บวกกับสติอยู่กับลมหายใจสุดท้าย แล้วสภาวะจิตจะนิพพานได้ในปัจจุบันไหมเจ้าคะ ??
และที่เห็นแบบนี้ผิดถูกอย่างไร ขอหลวงตาเมตตาชี้แนะเจ้าค่ะ หากหนูใช้คำใดที่ไม่ถูก ไม่เหมาะสม ขอองค์หลวงตาโปรดอดโทษให้ด้วยเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ สาธุ
หลวงตา : ปล่อยวางตัวรู้
ตัวรู้หรือผู้รู้ไม่ใช่นิพพาน
พระนิพพานเหนือผู้รู้ขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย
ไม่มีตัวเราอยู่ในรู้ ผู้รู้ไม่ใช่ตัวเรา
ธาตุรู้แท้ (ไม่มีอวิชชา) เป็นวิสังขาร
อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ไม่มีตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ใช่เป็นเรา เป็นของเรา
เป็นอกิริยา ไม่ปรุงแต่ง ไม่กระเพื่อม ไม่เกิดดับ จึงไม่อาจมีความสงสัย หรือ อยากรู้ อยากได้ อยากเป็น อยากบรรลุนิพพานได้
ความรู้สึกว่ามีเรา มีตัวเรา จะนิพพาน มันเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
ธาตุรู้แท้ จะสักแต่ว่ารู้ปัจจุบันขณะ โดยไม่มีตัวตนของผู้รู้
จึงไม่มีตัวตนของผู้ยึด ให้เป็นทุกข์ เรียกว่า “นิพพาน”
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563