ผู้ถาม : ขอโอกาสเรียนถามหลวงตา แต่คำถามนี้อาจจะแปลก ๆ สักหน่อย
จากการที่สังเกตตัวเองที่ผ่านมา เวลาจะเข้าใจธรรมอะไร ๆ นั้น มักจะเกิดในความฝันช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน ก่อนเสมอ ๆ
คืนนี้ก็เช่นเคย ราวตีสอง ฝันว่าตัวเองอยู่ในที่ไหนสักแห่ง ไม่รู้จัก เวลานั้น ก็เกิดลมพายุพัดบ้านที่ตัวเองอยู่พังพินาศหมด มีฟ้าผ่าซ้ำ
เมื่อสภาวะเริ่มทุเลาลง ก็มีผู้ชายมาถามหา ในความฝันนั้น รู้สึกกลัว เลยเดินหลบเข้าไปในห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ เพื่อไม่ให้เขาเห็น
แล้วความรู้สึกก็หนาวยะเยือก จึงสะดุ้งตื่น ดูเวลาตีสองนิด ๆ จึงลุกมาปฏิบัติภาวนาตามปรกติ
นั่งสักพัก รู้สึกว่า เหมือนอยู่ข้างนอกร่างกายตัวนี้ รอบ ๆ มันว่าง ๆ เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในอากาศรอบ ๆ ตัว
ขณะที่นั่งภาวนาจะรู้ว่าตัวร่างกายนี้มันหายไป แต่เอามือจับก็ยังอยู่ พอเอามือออกก็เหมือนไม่มีตัว
มีความคิดอะไรเกิดขึ้น เหมือนเราเป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่รู้ว่ามันกำลังคิด
ความคิด กับ ความรู้อันนี้ มันแยกออกจากกันชัดเจน
แม้ในขณะเขียนถามอยู่นี้ เวลาเขียนต้องใช้ร่างกายเดิม พอเว้นวรรค มันจะกลับไปอยู่กับการรู้ ตัวที่กำลังหยุดเขียน พอเริ่มเขียนถามหลวงตา มันจะกลับไปใช้ร่างกายเขียน คิด นึก
พอหยุด มันก็ไปอยู่กับ ความรู้ที่รู้ร่างกายที่นั่งเขียนคำถามหลวงตา
คำถาม คือ มันคืออะไรครับ ?
มันคือการไปอยู่กับ
- ความว่าง ที่หลายคนติดสภาวะนี้กัน หรือ
- นี่คือ การอยู่กับใจ ที่แยกออกมาจากขันธ์
กราบขอบคุณในคำตอบล่วงหน้าครับ
หลวงตา : ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง
ส่วน “ใจ” เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง หรือ ไม่ไหวติง
เมื่อใดใจพบใจที่แท้จริงแล้ว ก็จะสิ้นสงสัยเอง
เพราะสังขารทั้งหมดจะหลุดไปจากใจ เนื่องจาก “ใจ” เป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่าจากตัวตน หรือ รูปลักษณ์ใด ไม่มีแม้ตัวจิตตัวใจ ไม่มีอะไรปรากฏ
พบใจพบธรรม ถึงใจถึงพระนิพพาน
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563