ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
วันนี้หนูนอบน้อมจิตอธิษฐานตามบทสวด
ที่หนูกราบเรียนองค์หลวงตาว่า...
มีอานุภาพมากจนตัวสั่นไปหมดนั้น
อยู่ ๆ มันก็รู้ว่า...
เพราะอยู่ในสมัยพุทธกาลขององค์สมณโคดมพุทธเจ้า
อานุภาพแห่งพระองค์ท่านจะแรง เนื่องจากเป็นยุคพระองค์ท่านเจ้าค่ะ
แล้วหนูก็ย้อนกลับมาอ่านที่องค์หลวงตาแชร์มาเมื่อวาน
เรื่อง… นามรูปจิต นามรูปโปร่งแสง นามรูปขันธ์ห้า
มันก็รู้ขึ้นมาว่า...
เมื่อมีการไหวตัวน้อย ๆ เป็นการปรุงแต่งเกิดขึ้นนั้น
การไหวตัวที่เป็น “ความคิดปรุง” จะปรุงขึ้นเป็นกู
พร้อมยึดความคิดปรุงว่ากูพร้อมความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน
นามจิตจะมี “จุดศูนย์กลาง” เป็นนิวเคลียสในมิติที่ตามองไม่เห็น
แผ่ออกไปเป็น “รังสีของอัตตา” เจ้าค่ะ
รูปจิตที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะเป็นกลม ๆ โดยบริเวณขอบจะจาง ๆ
ในขั้นของนามรูปจิตนี้จะมีความเป็นปรมัตถธรรม
จะเป็นสากลใช้เหมือนกันหมด ยังไม่เป็นภาษาสมมุติ
จะสื่อสารในภาษาสากลที่รู้กันทุกรูปนามจิตเจ้าค่ะ
ต่อมาเมื่อควบแน่นดึงเอาพลังงานจากสิ่งแวดล้อมเข้ามา
บวก “แรงแห่งกรรม” ที่เกิดขึ้น
(เมื่อเริ่มไหวตัวปรุงแต่งความคิดปรุง “กู”
คือ เมื่อไหวตัวด้วยความเป็น “กู” “แรงกรรม” จะเกิดขึ้น)
จะเกิดเป็นนามโปร่งแสงตามแรงกรรมนั้น
แล้วจิตจึงสร้างรูปโปร่งแสงตามนามโปร่งแสงนั้น (ดิน น้ำ ลม ไฟในมิติพลังงาน)
ต่อมาเมื่อจิตโปร่งแสงมีการกระทำที่หยาบขึ้น
โดยใช้รูปโปร่งแสงในการกระทำ ก็เกิดเป็นแรงกรรม
ส่งผลให้เกิดแรงดึงดูดเหนี่ยวนำธาตุหยาบ (ดิน น้ำ ลม ไฟในภาคหยาบเป็นสสาร)
เกิดเป็นร่างกายคน สัตว์ เช่นปัจจุบัน
เมื่อมีร่างกายจิตใจเช่นปัจจุบัน
ด้วยความหยาบของจิตใจ
ประสิทธิภาพของจิตจะลดลง
การสื่อสารทั้งหมดจึงเป็นได้เพียง “เฉพาะกลุ่ม”
ไม่สามารถใช้ภาษาสากล (ภาษาใจ) ได้อีกต่อไป
จึงเกิดภาษาที่คนพูดกันเช่นปัจจุบัน เจ้าค่ะ
หนูพิมพ์มานี่นิ้วจิ้มเร็วมากเลยเจ้าค่ะ
สิ่งเหล่านี้หนูไม่รู้เลยว่ามันจริงไม่จริงยังไง
แต่มันรู้ขึ้นมาแบบนี้เจ้าค่ะ
ขอนอบน้อมกราบรายงานองค์หลวงตาเท่านี้เจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ...
หลวงตา : ส่วนที่ดับสนิท เป็นรูปนามขันธ์ห้าหยาบ ดับ
รูปนามที่เป็นทิพย์จะต้องไปรับกรรม ดับ
ดวงจิตปรุงแต่ง ดับ
แต่จิตบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นวิมุตติ เป็นอมตะ ไม่เกิดดับ
*****ส่วนบารมีที่สร้างมาทั้งหมด ไม่ได้หายไป แต่ไม่ปรากฏ โดยไปรวมอยู่ในวิมุตติ เป็น
พุทธบารมี
ธรรมบารมี
สังฆบารมี
รวมกับบารมีที่เราได้ทำมาแล้วทั้งหมด
ซึ่งในบารมีจะมี พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ อยู่ด้วยแล้ว
ดังนั้น จึงสามารถปรากฏเป็นพระพุทธเจ้า พระอริยะ ซึ่งเป็นสมมติขึ้นมาจากวิมุตติ มาสอนธรรม แสดงธรรมแก่ผู้มีความศรัทธา และสมควรแก่ธรรมในขณะนั้นได้
แต่ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระอริยะ ซึ่งเป็นองค์จริง
เป็นแต่เพียงสมมติ เพราะในขณะที่สมมติปรากฏขึ้นมา ก็ไม่สามารถจับต้องหรือสัมผัสได้
ซึ่งในสมมติที่ปรากฏขึ้นมานั้นจะมี
พุทธบารมี
ธรรมบารมี
สังฆบารมี
พุทธานุภาเวนะ
ธัมมานุภาเวนะ
สังฆานุภาเวนะ
อยู่ด้วย
เสร็จแล้วก็ดับไปเป็นวิมุตติ เป็นความไม่ปรากฏอะไรเลย
ดังนั้น ผู้ใดมีศรัทธา ความเพียร มีสติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็นพละห้า อินทรีย์ห้า ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระธรรมแท้อันบริสุทธิ์ ด้วยความอดทน อดกลั้นไม่ตามใจกิเลสอย่างต่อเนื่อง มีหิริ โอตตัปปะ ความละอายต่อพระพุทธเจ้า เกรงกลัวต่อบาป ผู้นั้น ย่อมพบธรรม
ดังคำตรัสที่ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า”
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563