ผู้ถาม : กราบองค์หลวงตา หนูอธิษฐานว่า… จะมีความรู้ใดขึ้นมา ขอให้นิ้วจิ้มไปเอง ขอให้เป็นไปเอง
หนูเพิ่งเห็นว่า… มันกลัวจะเป็นทิฏฐิมานะ ซึ่งความกลัวที่จะเกิดมานะ มันมี “ตัว” มันจึงมีความกลัวจะเกิดมานะเจ้าค่ะ พอเห็นก็ดับ มันไม่ได้มีอะไรเจ้าค่ะ สังขารปรุงเจ้าค่ะ กราบส่งการบ้านเจ้าค่ะ
กราบขอโอกาสองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
หนูถาม “ธรรม” ว่าที่ผ่านมาหนูระมัดระวังเรื่องใดควรไม่ควรพูดหรือกระทำ โดยใช้การอธิษฐานให้ทุกอย่างเป็นไปเองเจ้าค่ะ
มันเหมือนเมื่อทุกอย่างเกิดเอง เป็นเอง ไหลลื่นเอง “ตัวเรา” ก็ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งนั้น
หนูใช้ “วิธีการ” แบบนี้มาตลอดเจ้าค่ะ
แต่เมื่อกี้หนูเห็นว่า… มัน safe ตัวมันเองให้ไม่เกี่ยวข้อง แล้วจะต้องทำยังไง ???
มันก็รู้มาว่า… ต้องหัดแยกให้เห็นความต่างว่า… มันมีความเป็น “กู” ปนอยู่ในความรู้
“ตัวกู” ที่เงียบกริบ มีตัวกูที่เงียบกริบ ถึงจะเห็น “ตัวตนละเอียด” ได้ “ความจริง”ของความเป็น “ตัวกู กับ ตัวตน” จึงจะเปิดเผยให้รู้แจ้ง ให้เห็นแจ้งเจ้าค่ะ
กราบส่งการบ้านที่เกิดขึ้นสด ๆ ตอนนี้เจ้าค่ะ
หนูลืมกราบเรียนเจ้าค่ะ ที่มันรู้อะไรต่ออะไร มันเหมือนหนูรับคลื่นความรู้ที่ส่งมาจากองค์หลวงตาด้วยเจ้าค่ะ เหมือนคลื่นจากองค์หลวงตาส่งมาที่สถานีย่อยนี้ (สาขาสถานีใหญ่) เจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ ถูกต้องตามธรรมแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้แจ้งตลอดสายว่าอะไรเป็นอะไร (อวิชชา)
จึงเกิดมี “กู” กลัววิตกกังวลว่าจะผิดจากพระธรรมคำสอนที่ออกจากพระทัยอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
“สัจธรรม” ความจริงแท้ ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไรปรากฏ ซึ่งความไม่มีอะไรปรากฏ จะมีธาตุอยู่สองชนิดอยู่ด้วยกัน ได้แก่
“อากาศธาตุ” ซึ่งเป็นความว่างในธรรมชาติ ในจักรวาล เป็นความว่างที่ไม่มีความรู้ กับ
“วิญญาณธาตุ (ธาตุรู้)” ซึ่งเป็นความว่างที่มีความรู้ในตัวเอง มีชื่อสมมติอีกมากมาย เช่น ใจ จิต
จิตหนึ่ง พุทธะ เอโกธัมโม หรือ เอกะธัมโม วิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม อมตธาตุ อมตธรรม สุญญตา นิพพาน
ซึ่งมีแต่ชื่อ แต่ไม่มีตัว ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีอะไรปรากฏ
ไม่สังขาร ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่สว่าง ไม่มืด ไม่สุข ไม่ทุกข์
ไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
ทุกสรรพสิ่ง (สังขาร) ซึ่งเป็นสิ่งปรุงแต่ง จากไม่มีเป็นมีขึ้นมา แล้วดับกลับคืนสู่ความไม่มี
สังขารทั้งหมดเริ่มต้นมาจากความไม่มี หรือ ความว่าง
จากความว่าง เริ่มมีสังขาร เป็นความไหวตัวของคลื่นพลังงาน เป็น Wave หรือ Vibration เช่น พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม พลังงานประจุไฟฟ้า พลังงานแม่เหล็กโลก
ทั้งความว่าง และ สังขาร ซึ่งเป็นพลังงานในตอนแรก ไม่มีใครเป็นเจ้าของ โดยสังขารจะเกิดดับในความไม่เกิดดับ (วิสังขาร)
ต่อจากนั้น พลังงานก็ปรุงแต่งสร้างดวงจิตขึ้นมาจากความไม่มีอะไร
เมื่อมีดวงจิตขึ้นมา ก็หลง (อวิชชา) ปรุงแต่งยึดดวงจิตเป็นเรา เป็นของเรา โดยสร้างรูปนามโปร่งแสงเป็นตัวเราขึ้นมา
รูปนามซึ่งเป็นกายโปร่งแสงนี้จะออกจากศพของตัวเอง เมื่อขันธ์ห้าแตกดับ (ตาย) แล้วจะไปรับกรรมในภพต่าง ๆ มีจะรูปร่างเปลี่ยนไปตามภพนั้น เช่น สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เทวดา มนุษย์
จากรูปนามที่เป็นกายโปร่งแสงที่ยังมีอวิชชาอยู่ ก็จะสร้างรูปนามซึ่งเป็นกายหยาบของขันธ์ห้าขึ้นมา
แล้วเมื่อขันธ์ตาย จิตหรือวิญญาณธาตุ ก็จะเป็นรูปนามโปร่งแสงออกจากร่าง เพราะยังมีอวิชชาอยู่ ต้องไปรับกรรมตามในภพใหม่ มีรูปนามใหม่เปลี่ยนไปตามกรรมในภพนั้น ๆ
จนกว่าจะหายโง่ สิ้นอวิชชา เพราะเกิดปัญญาวิมุตติรู้แจ้งในสัจธรรมความจริงแท้ว่า ความเป็นตัวเรา เป็นของเรา ไม่มีอยู่จริง เริ่มต้นมาจากความเห็นผิด ความไม่รู้ ความโง่เขลา ความมืดบอด ซึ่งเป็น “อวิชชา” จึงหลงปรุงแต่งสร้างดวงจิตขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วหลงยึดจิตนั้นเป็นตัวเรา เป็นของเรา ตั้งแต่นั้นมา
“สัจธรรม” ความจริงแท้ไม่มีตัวเรา ไม่มีจิตของเรามาตั้งแต่แรก
กล่าวได้ว่าแท้จริง
“ไม่มีจิต ไม่มีอวิชชา ไม่มีตัวเรา”
แต่หลงปรุงแต่ง
“มีจิต มีอวิชชา หรือ มีอวิชชา มีจิต มีตัวเรา ขึ้นมาจากความไม่มี”
มันเป็นกลมายาหลอกลวงให้ลุ่มหลง เหมือนอย่างกับ
ภาพยนตร์หรือละคร ที่เขาปรุงแต่งขึ้นมา มันไม่ได้เป็นจริงอย่างนั้น แต่ทำให้คนหลง
เมื่อรู้ความจริงว่า มันเป็นเพียงกลมายาหลอกลวงให้ลุ่มหลง
ก็จะหายโง่ ไม่หลงไปตามมัน คือ ไม่หลงยึดว่ามีดวงจิต เมื่อไม่มีจิต ก็ไม่มีจิตให้ยึดเป็นตัวเรา เป็นของเรา รูปนาม ซึ่งเป็นกายโปร่งแสงที่จะต้องไปรับกรรมในภพต่าง ๆ ก็ดับไป
ส่วนขันธ์ห้า ซึ่งเป็นรูปนามหยาบยังไม่ตาย ก็ยังดำเนินต่อไปจนกว่าจะตาย
ส่วนจิต ใจ หรือ วิญญาณธาตุ เป็นความว่าง
เมื่อขันธ์ห้าตาย จะไม่มีรูปนาม ซึ่งเป็นกายทิพย์ออกจากศพ
เพราะดับไป ตั้งแต่หายโง่ (สิ้นอวิชชา) แล้ว
ส่วนจิต ใจ หรือ ธาตุรู้ ซึ่งเป็นความว่างก็ไปรวมกับความว่างในธรรมชาติ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2563