ผู้ถาม : ดีใจที่ได้เป็นลูกศิษย์เจ้าค่ะ สถานการณ์แบบนี้ถ้าไม่มีธรรมรักษาคงจะเครียดมากเจ้าค่ะ
กราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบพ่อแม่ ครูอาจารย์ กราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : ให้กัดติดจดจ่อเป็น “สติสัมโพชฌงค์” “ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์” “วิริยะสัมโพชฌงค์” หรือ มีสัมปชัญญะ มีสติ ปัญญา ทำงานวิจัยกาย เวทนา จิต ธรรมของตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ
จนรู้แจ้งว่าขณะจิตใดมีความยึดถือ หรือ มีความหลงยึดมั่นถือมั่น คือ หลงยึดถือเอามาเป็นของเรา หรือ หลงยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา.... และ
ขณะจิตใด ไม่มีความหลงยึดถือ หรือ ไม่มีความหลงยึดมั่นถือมั่นเอามาเป็นของเรา หรือ เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นตัวตนของเรา
ขณะจิตที่หลงยึดถือ หรือ หลงยึดมั่นถือมั่น ก็จะมีตัวเราเป็นทุกข์ หรือ มีตัวเราหลงเพลินใจ พอใจ ติดใจ ยินดี
ถ้าตายลงขณะจิตนั้น ก็จะมีตัวเราเป็นกายโปร่งแสงกระเด็นออกมาจากร่างที่ตาย มาเป็นทุกข์โศกเศร้าเสียใจ แล้วยมทูตก็มาเอาตัวไปพิพากษาตามกรรม
ถ้าขณะจิตใดไม่มีความหลงยึดถือ หรือ ไม่มีผู้หลงยึดมั่นถือมั่น (ไม่ยึดถือแม้ความไม่ยึดไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ยึดถือธรรม ไม่ยึดถือแม้นิพพาน)
ก็จะไม่มีตัวตนของผู้ทุกข์ หรือ ผู้เพลินใจติดไปกับสิ่งใด
ถ้าตายลงขณะจิตนั้น ร่างกายก็เน่าเปื่อยผุพังสลายกลับคืนสู่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟตามธรรมชาติ ส่วนวิญญาณธาตุที่สิ้นอวิชชาแล้ว ก็ไปรวมกับความว่างในธรรมชาติ และจะแทรกซึมอยู่ในธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ในพลังงานในธรรมชาติ และในร่างกายจิตใจของสรรพสัตว์
จะไม่เหลือมีตัวตนของเราเป็นกายโปร่งแสง ออกจากร่างที่ตายไปรับทุกข์ในภพภูมิต่าง ๆ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2563