ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ ทุกวิกฤตมีโอกาสนะเจ้าคะ ทำให้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างเลยเจ้าค่ะหลวงตา
อย่างแรกคือ หนูเคยคิดว่าถ้าเกิดภัยพิบัติร้ายแรงจริง ๆ หนูอยากจะไปอยู่ใกล้ ๆ หลวงตา ไปขอพึ่งบารมีหลวงตา แต่เมื่อเกิดจริง ๆ แบบตอนนี้แล้ว ถึงแม้เราอยากไปเราก็ไปไม่ได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน และไม่มีเหตุบังเอิญในโลกจริง ๆ เลยใช่ไหมเจ้าคะ
และที่หนูเคยคิดว่าจะบวช จะตัดทางโลก วิกฤตครั้งนี้มันก็มาเป็นบททดสอบหนูอีกเจ้าค่ะ เวลานี้มันเหมือนกับว่า ถ้าเราไม่มีอะไรแล้วในทางโลก จะด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่ได้ทำงาน ไม่มีงานทำ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป จะบวชตอนนี้ก็บวชไม่ได้ แค่ปล่อยให้ธรรมชาติเขาเป็นไป
ทุกวิกฤตมีโอกาสจริง ๆ เลยเจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตา : ไม่เคยอยู่ตัวคนเดียวโดยไม่ทำงานหรือไม่มีงานจะทำ ซึ่งโดยปกติเมื่อไม่ได้ทำงานก็จะมาอยู่วัด เพื่อมาอยู่ใกล้หลวงตา ได้ฟังธรรม มีงานปฏิบัติธรรมตามรูปแบบ
*** ไม่เคยได้อยู่ตัวคนเดียวเป็นเวลานานโดยไม่ได้ทำอะไรจริง ๆ
เกิดโรคไวรัส Covid 19 ระบาดอย่างหนัก
***** เป็นโอกาสทอง
ได้อยู่ตัวคนเดียว
ไม่มีอะไรทำ
จะต้องไม่หางานอะไรมาทำ
ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือ ไม่เล่นเกมส์ ไม่ดูหนัง ดูละคร ไม่ฟังเพลง ไม่ดูข่าวสาร กีฬา สารคดี......
ไม่หาหนังสือมาอ่าน
...............
*** เดิน ๆ… นั่ง ๆ… อย่างเดียว.......
ไม่พยายามปฏิบัติธรรม ไม่พยายามฝึกจิต ดูจิตอย่างใด ๆ และไม่ปล่อยให้เพลิดเพลินคิดปรุงแต่งฟุ้งช่านไป
***** แล้วจะเห็นธรรมชาติที่แท้จริงในใจเรา ว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา (สังขารธรรม) สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา
(ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมันติ)”
*** เกิดปัญญาวิมุตติ รู้แจ้งแบบนี้ที่ใจ ก็มีชื่อสมมติเรียกว่า “โสดาบัน”
ต่อจากนั้น
จะเห็นสัจธรรม ความจริงตามธรรมชาติ ว่า
“ธรรมชาติของสิ่งเกิดดับ (สังขาร) ย่อมเกิดดับในธรรมชาติที่ไม่เกิดดับ (วิสังขาร)
ธรรมทั้งมวล (ทั้งสังขารและวิสังขาร) ไม่มีตัวตนเที่ยงแท้ ที่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราเลยแม้เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง และไม่มีตัวตนของเราอยู่นอกสังขารและวิสังขาร ที่จะมายึดมั่นถือมั่นสังขารหรือวิสังขาร เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเราได้
เมื่อรู้แจ้งสัจธรรมความจริงอย่างนี้จนถึงใจ (ปัญญาวิมุตติ) ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นว่ามีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา แล้วจะสิ้นหลงมีตัวเราไปยึดถือสิ่งใด ๆ (ทั้งสังขารและวิสังขาร) อีก
จะเป็นวิราคะธรรม หรือ มีชื่อสมมติว่า “นิพพาน”
ดังนั้น ธรรมที่ว่า....
“สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งมวล ทั้งสังขารและวิสังขาร ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น” หรือ
***** วิราคะธรรม หรือ นิพพาน เพราะสิ้นตัวตน หรือ สิ้นผู้หลงยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขาร และ วิสังขาร จึงเป็นธรรมที่เหนือหรือพ้นสังขารและวิสังขาร เพราะสิ้นตัวตนยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร
ดังนั้น ปฏิจจสมุปบาทในฝ่ายดับทุกข์และดับการเวียนว่ายตายเกิด จึงกล่าวว่า
“อวิชชายะเตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ สังขารระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ.........”
(เพราะอวิชชาดับสนิทไม่เหลือ ด้วยปราศจากราคะ (วิราคะ) สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ.... นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ และ ความทุกข์ทั้งมวลจึงดับพร้อม)
***** ธรรมที่เป็น “วิราคะ” คือ สิ้นหลงยึดมั่นทั้งสังขารธรรมและวิสังขารธรรม ว่า เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นของของเรา จึงมีความสำคัญที่สุด
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563