ผู้ถาม : สิ่งที่จิตยังไม่แจ้ง... จิตก็คว้าไว้รกรุงรัง
สิ่งใดที่แจ้งในจิตแล้ว... ความจริงในจิตจึงปล่อยวางความจริงไว้ตามความเป็นจริง… อย่างนั้นเอง
แจ้งเมื่อใด... จิตก็ปล่อยวางเองเจ้าค่ะ
หลวงตา : คำว่า .... “แจ้งเมื่อใด … จิตก็ปล่อยวางเอง”
แสดงว่าหลงยึดถือมีตัวเราผู้รู้แจ้ง ผู้จะรู้แจ้ง ผู้จะพ้นทุกข์
**** ปล่อยวาง....
อาการรู้แจ้ง
อาการรอรู้แจ้ง
อาการเข้าไปทำความเข้าใจ เพื่อรู้แจ้ง หรือ เพื่อความพ้นทุกข์
อาการทุกอาการแม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง แม้ความว่าง แม้ความจะมีผู้พ้นทุกข์
ผู้ปล่อยวาง
ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ จริง ๆ แล้วมันมีตัวที่พร้อมจะทำตาม... รอคำสั่งว่าทำอันนี้สิ ทำอย่างงี้สิ… มันดีนะ... (แล้วจะบรรลุธรรม)
งั้นหนูเลิกกระดิกมือกระดิกเท้าแล้วนะคะ (มันเหนื่อย) แต่ก็ยังอยากขอคำแนะนำจากหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : คำว่า .... “แจ้งเมื่อใด … จิตก็ปล่อยวางเอง”
แสดงว่าหลงยึดถือมีตัวเราผู้รู้แจ้ง ผู้จะรู้แจ้ง ผู้จะพ้นทุกข์
**** ปล่อยวาง....
อาการรู้แจ้ง
อาการรอรู้แจ้ง
อาการเข้าไปทำความเข้าใจ เพื่อรู้แจ้ง หรือ เพื่อความพ้นทุกข์
อาการทุกอาการแม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง แม้ความว่าง แม้ความจะมีผู้พ้นทุกข์
ผู้ปล่อยวาง
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตา หลวงตาส่งมาแต่ละครั้ง ... หมดคำพูดเจ้าค่ะ
หลวงตา : คำว่า “สิ่งที่จิตยังไม่แจ้ง.... จิตก็คว้าไว้รกรุงรัง”
***** หมายถึง… “จิตไม่รู้ตัวว่าจิตหลงยึดถืออยู่”
จึงเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ และความทุกข์ โศก เศร้า คับแค้นใจ หดหู่ เหี่ยวแห้งใจ.... เพราะมีผู้ยังไม่สมหวัง สมปรารถนา ยังไม่ได้อย่างใจอยาก เช่น
หลงยึดถือความรู้แจ้ง
หลงยึดถือความไม่ยึดถือ ความพ้นทุกข์ หรือ นิพพาน
หลงยึดถือจิตหรือใจเสียเอง
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563