ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ มีคำถามที่สงสัยเกิดขึ้นในใจเจ้าค่ะ วันนี้อยากรู้เพื่อความสิ้นสงสัยเจ้าค่ะ ขอหลวงตาอย่าถือสา หากคำใดที่หนูใช้ไม่เหมาะสมเจ้าค่ะ
ในขณะที่กำลังอาบน้ำ สติก็อยู่กับการรู้ตัวว่าอาบน้ำ ชิว ๆ เจ้าค่ะ เกิดปรากฏเห็นรูปกายมันขยับ ท่านั้นท่านี้ ในขณะนั้น หนูไม่ได้รู้สึกว่ามีตัวเองอาบน้ำเลยเจ้าค่ะหลวงตา
เหมือนดูกายมันเคลื่อนไหวของมันเอง
สงสัยเจ้าค่ะหลวงตาว่าที่กายมันเคลื่อนไหว ท่านั้นท่านี้เหมือนอัตโนมัติเองอย่างนั้น เพราะมันมีธาตุลมหรือ ความว่าง หรืออะไรที่มีเหตุปัจจัยให้มันทำเจ้าคะ กราบขออภัยที่ไม่มีความรู้ตรงนี้เลยเจ้าค่ะ กราบหลวงตาเมตตาชี้แนะเจ้าค่ะ
หลวงตา : กายมันยังไม่ตาย มันก็เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นแหละ มันก็ต้องเคลื่อนไหว เกิดดับ
จิตมันยังไม่ตาย (เพราะยังไม่ถึงอนุปาทิเสสนิพพาน) มันก็เป็นธรรมชาติที่เคลื่อนไหว เกิดดับ
แต่จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ (เพราะสิ้นอวิชชา) เป็นธรรมชาติที่ได้รู้แต่ไม่ปรากฏอะไร ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหว
มันเป็นธาตุชนิดหนึ่งเหมือนกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ (ความว่าง) แต่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศไม่มีความรู้ในตัวเอง
ส่วนธาตุรู้บริสุทธิ์ มีความรู้ในตัวเอง ทั้งที่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่ปรากฏกิริยาหรืออาการใด ไม่มีอะไรปรากฏ มันจะเป็นเหมือนความว่าง (ธาตุอากาศ)
ในตัวเรานี้ จึงมีสิ่งที่เคลื่อนไหว เกิดดับสองอย่าง คือ กาย และ จิตปรุงแต่ง ซึ่งเป็นสังขาร เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ เป็นทุกข์ เพราะมีสถาพบีบคั้น เนื่องจากทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ เกิดแล้วต้องดับ หรือ แก่เจ็บตาย
ส่วนจิตบริสุทธิ์ หรือใจบริสุทธิ์ หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ เป็นวิสังขาร ไม่เคลื่อนไหว ไม่เกิดดับ ไม่ปรากฏอะไรเลย ได้แต่รู้ ส่วนนี้เป็นส่วนที่พ้นจากทุกข์
ดังนั้น ที่โยมเห็นกายเคลื่อนไหวเอง แต่ใจไม่เคลื่อนไหวไปตามกาย นั้น ก็ถูกต้องตามธรรมชาติแล้ว
แต่ถ้าให้ดียิ่งกว่านี้ โยมต้องเห็นจิตเขาเคลื่อนไหวเอง แต่ใจไม่เคลื่อนไหวไปตามจิตด้วย
ถ้าเห็นอย่างนี้ จึงจะรู้แจ้งแก่ใจตนเองในสัจจธรรมความจริงของธรรมชาติว่า ..........
กาย (กายสังขาร) เคลื่อนไหวเอง ดับเอง ส่วนใจ (วิสังขาร)
ไม่เคลื่อนไหว ใจไม่ปรากฏอะไร ได้แต้รู้
จิต (จิตตสังขาร) เคลื่อนไหว เกิดเองดับเอง ส่วนใจ (วิสังขาร) ไม่เคลื่อนไหว ไม่ปรากฏอะไร ได้แต่รู้
ส่วน ใจ (วิสังขาร) เป็นธรรมชาติที่ไม่ปรากฏอะไร ได้แต่รู้
เป็นส่วนที่พ้นทุกข์ (นิพพาน)
แต่ถ้ายังมีอวิชชา ก็จะมีตัณหา อุปาทาน คือ มีความรู้สึก หรือ ความคิดปรุงแต่งยึดถือกาย และ จิต ซึ่งเป็นสังขาร เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
จะเป็นส่วนที่เกินธรรมชาติปกติของสังขาร เพราะธรรมชาติปกติของสังขารเขาเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา (ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ)
เขาไม่ได้เป็นตัวตนคงที่ ไม่ใช่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ส่วนวิสังขาร ก็เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ จึงไม่มีอะไรที่จะยึดถือเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเราได้
แต่เพราะความไม่รู้ หรือ ความโง่ (อวิชชา) จึงฝืนธรรมชาติตามความเป็นจริง หลงยึดถือสังขาร หรือ วิสังขาร ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา หรือ มีตัวเราอยู่ในสังขารหรือวิสังขาร แล้วก็หลงยึดถือเอาสังขารหรือวิสังขารมาเป็นของเรา
ดังนั้น เมื่อยังโง่หรือยังมีอวิชชาอยู่ แม้พระพุทธเจ้า หรือ พระสาวก จะบอกความจริงอย่างไร ก็จะฝืนความจริง หลงยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร จนเป็นทุกข์ โศก เศร้า เสียใจ คับแค้นใจ หดหู เหี่ยวแห้งใจ
เมื่อยังหลงยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์อยู่ ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์ในภพขาติใหม่ ๆ อีกต่อ ๆ ไป
ขณะจิตใดรู้เห็นสัจธรรมความจริงในสังขารและวิสังขารด้วยใจ ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา ก็จะพ้นทุกข์ (นิพพาน) จะสิ้นการเวียนว่ายตายเกิดให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
ผู้ถาม : น้อมกราบแทบเท้าหลวงตาที่เคารพบูชาเจ้าค่ะ
หมดความสงสัยแล้วเจ้าค่ะ (เพราะมันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว)
เพราะ มีสติ แล้วจะเกิดปัญญา จริง ๆ ค่ะหลวงตา
เมื่อก่อนมันมองเห็นกายเป็นก้อนเป็นเราแบบแนบแน่น ไม่เคยคิดจะมีปัญญาได้เข้าใจขนาดนี้เจ้าค่ะ เป็นบุญที่ตัวอยู่ไกล (ประเทศสวีเดน) แต่เหมือนอยู่ใกล้ ๆ ได้นั่งฟังหลวงตาเทศน์สอน เหมือนคนอื่นเลยเจ้าค่ะ
กราบสาธุเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563