ผู้ถาม : สาธุค่ะ มันเห็นแล้วว่า การไปไล่วาง วาง วาง มันเป็นการกระทำ มันเป็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ที่อยากให้มันวาง วางซะที จบได้แล้ว พอได้แล้ว พอเห็นแบบนี้ มันปล่อยเลย เออ มึงจะยึดก็ยึดไป กูเหนื่อยแล้ว ไม่ไปไล่ตามมึงแล้ว จะยึดยึดเลย ช่างหัวมันแล้ว เท่านั้นแหละ ความทุกข์ดับเดี๋ยวนั้น ความรู้สึกว่าต้องวาง ดับเดี๋ยวนั้น ความรู้สึกว่างานยังไม่จบดับเดี๋ยวนั้น พอสิ้นตัณหา ความทุกข์ งานอะไรที่ต้องแบกไว้ มันจบหมดสิ้นในใจ ขณะจิตนั้นเลย หลังจากนั้น ก็เห็นด้วยว่า เวลาที่พิมพ์หาหลวงตา เดิมมันจะมีความระมัดระวัง ไม่ใช้คำว่า “เรารู้ เราเห็น” แต่จะใช้คำว่า “มันรู้ มันเห็น” แทน เพราะมันยึดไว้ว่า “ต้องไม่มีตัวเราเป็นคนเห็น” “ต้องเห็นเป็นสังขารให้หมด" “ต้องไม่เป็นตัวเอง” “ต้องไม่ไปเป็นสังขาร” ไม่เคยรู้เลย ว่าไอ้นั่นนั่นแหละ สังขารชัดๆ ยึดถือชัด ๆ ระวังจิตชัด ๆ พอรู้แล้ว มันช่างหัวมันเลย มึงจะรวม มึงรวมเลย มึงจะเป็นตัวกู มึงเป็นเลย ยิ่งบอกว่า มึงเป็นสิ รวมสิ รวมสิ มันไม่ยอมรวมเลยหลวงตา มันเห็นตัวที่มันบอกว่า รวม รวม รวม เป็นสังขารปรุงแต่งไปเลยจริง ๆ มันอาจหาญ ร่าเริง มากเลยหลวงตา ท้าสู้กิเลสเลยหลวงตา สังขารมันแยกออก ขนาดมันคิด แล้ว ความเศร้าหมองเกิดขึ้น มันก็ไม่แตะใจเลย แยกออกเอง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ใจมันสุขล้น จนน้ำตาจะไหล ไม่เคยเป็นมาก่อนจริง ๆ จะไปคิดพิจารณา จะให้มันรวม ให้มันเป็นสังขาร ให้มันทุกข์ มันไม่ยอมให้ทุกข์เลย มันเห็นเป็นสังขารหมด มันเลยทุกข์ไม่ได้
หลวงตา : สาธุ สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2560