ผู้ถาม : ช่วงก่อนหน้านี้ก็โยนิโสมนสิการ ว่าตัวเราไม่มีอยู่จริง ทำไปสักพักก็พบว่าชั่วขณะจิตหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเราไม่มี เหมือนร่างกายมันหายไป แต่รู้สึกเหมือนสัมผัสกับความว่างได้สิ่งหนึ่ง หลังจากนั้นเวลาภาวนาก็สังเกตพบว่า นอกจากขันธ์ห้าก็ยังมีความว่างอีกอันนึง จะว่าเป็นความว่างจริง ๆ ก็ไม่ใช่ เนื่องจากมันบรรจุสิ่งของอะไรไม่ได้ มันเป็นเหมือนความไม่มี แต่จะว่าเป็นความไม่มีก็ไม่ใช่ เพราะมันรู้สึกถึงได้ว่ามันมีอยู่ มันเป็นความว่างที่ไม่มีขอบเขต ถ้าจะเปรียบความว่างนี้เหมือนท้องฟ้า ตัวเราเป็นนก ในตัวนกก็มีท้องฟ้าอันนี้อยู่ ถ้าจะเปรียบความว่างอันนี้เป็นน้ำ ตัวเราเป็นปลา ในตัวปลาก็มีน้ำอันนี้อยู่ มันเป็นความว่างที่ไม่เหมือนความว่างของจักรวาล ที่บรรจุไปด้วยดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ แต่ความว่างอันนี้บรรจุอะไรไม่ได้ แต่ในจักรวาลความว่างอันนี้ก็มีอยู่ มันเป็นความว่างคนละอันกัน ความว่างอันนี้มันมีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ คน สัตว์ สิ่งของ เหมือนพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่กล่าวว่า ในสิ่งที่มี มีความไม่มี หรือในสิ่งที่มี มีความว่าง ถ้าจะพูดในแง่ของวิทยาศาสตร์ ผมเข้าใจว่า ความว่างอันนี้มันอยู่อีกมิติ มิติหนึ่ง เพราะปุถุชนธรรมดาไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้ เพราะการที่จะรับรู้ถึงมันได้ ไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยอายตนะทั้งหก การที่จะรับรู้ถึงมันได้มีแต่ใจที่บริสุทธิ์ หรือใจที่ว่างเปล่า เพราะมันเป็นความว่างอันเดียวกัน ตอนนี้ก็ได้แต่ปฏิบัติ ปล่อยวาง อันไหนว่างก็วาง ไม่ว่างก็วาง ผู้รู้ความว่าง ความไม่ว่างก็วาง อะไรก็วางทั้งนั้น จึงกราบเรียนถามหลวงตา ผิดถูกประการใดช่วยชี้แนะด้วยครับ
หลวงตา : สาธุ ที่รู้แล้ว เห็นแล้วนั้น ก็วาง ทุกอาการ ทุกสภาวธรรมที่รู้เห็นในปัจจุบัน ก็วาง วางแม้ความปรารถนาสิ่งใดในอนาคต ปล่อยวางแม้แต่ใจของเจ้าของ คืนธรรมชาติเขาไป ไม่หลงยึดถือมาเป็นของเรา ปล่อยวางตัวเราผู้รู้เห็น ผู้รู้แจ้ง ผู้ปล่อยวาง
ไม่มีผู้ยึดถืออะไร สิ้นผู้ยึดถือจริงจากใจ และสิ้นความหวังความปรารถนาใด ก็พ้นทุกข์
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2560