ผู้ถาม : เมื่อคืนกลางดึกตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ พอกลับมานอนจิตก็นิ่งเรียบกระจ่าง “รู้” อยู่เองนานเลยค่ะ ก็รู้ตัวว่าบางระยะระหว่างนั้นก็เข้าไปแทรกแซงเพื่อประคับประคองให้มันอยู่อย่างนั้นแล้วก็หลับไป เมื่อไม่กี่คืนมานี้ก็ตื่นกลางดึกด้วยสมาธิที่เกิดเองกับลมหายใจค่ะ ต่างกับที่เกิดเมื่อคืนนะคะ ที่เป็น “รู้” ไม่ทราบทำไมเป็นตอนตื่นนอนกลางดึกทั้ง 2 ครั้งคะ ครั้งที่เห็นการเกิดดับของกายก็ตื่นขึ้นมา “เห็น” นะค่ะ ไม่ใช่กำลังปฏิบัติฯอยู่ แต่เป็นตอนที่กำลังหลับอยู่
หลวงตา : ตอนตื่นนอนใหม่ๆ ร่างกายได้พักผ่อน ผ่อนคลายเต็มที่แล้ว จึง “เห็น” จิตคิดปรุงแต่งเกิดดับตามธรรมชาติของเขา โดยไม่มีใครเข้าไปตั้งใจเห็น ไม่มีใครเข้าไปแทรกแซง ไม่มีใครเสวย ไม่มีใครไปรองรับ ไม่มีผู้ยึดถือจะเห็นจิตคิดปรุงแต่งเคลื่อนไหวเหมือนกับน้ำตกที่ไหลแรงตลอดเวลา แต่ใจไม่ปรากฏตัวใจ มีแต่ความสงบ ว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไร้การกระเพื่อม ไร้การปรุงแต่งใด ๆ มีความสงบสันติสุข (น้ำไหลนิ่ง) หรือ
เห็นความสงบ ในท่ามกลางความเคลื่อนไหว
เห็นความไม่เกิดดับ ในท่ามกลางความเกิดดับ
เห็นความว่างเปล่า ในท่ามกลางความมี
เห็นวิสังขาร ในท่ามกลางสังขาร
เห็นความสงบได้ ในท่ามกลางความสุขและความทุกข์
เห็นความสงบได้ ในท่ามกลางความผ่องใสและเศร้าหมอง
แล้ว ...
เป็นใจที่ไร้ตัวตน ไร้ตัวใจ ไร้ความคิดหรือการปรุงแต่งใด ๆ ไม่มีสุขทุกข์ในนั้น ไม่มีผ่องใสเศร้าหมองในนั้น ไม่มีมืดสว่างในนั้น ไม่มีกุศลอกุศลในนั้น ไม่มีบุญบาปในนั้น ไม่มีโลกธรรมในนั้น ไม่มีอะไรเลย...แม้แต่ความรู้สึกว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดอาจยึดถือเขาได้ จะเอาตัวเราไปยึดถือเขาก็ไม่ได้ ... แต่ ... “เป็นสิ่งนั้น” เอง เห็นอย่างนี้บ่อย ๆๆๆๆๆ ... แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆๆๆๆ ... แล้วปล่อยหมดทุกสิ่งทั้งสังขารและวิสังขาร .... แล้วจะเป็น “ใจ” นั้นเสียเอง โดยไม่เอา “ใจ” ไปฝากหรือไปอยู่กับอะไรหรือสิ่งใดอีกต่อไป
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560