ผู้ถาม : หลวงตาคะ ดิฉันก็เคยเห็นตัวเองเน่าเปื่อยค่ะ นานแล้ว แต่ฟังไฟล์ เหนือสังขารแล้ว ก็ไม่ควรกลับไปพิจารณากายอีกเลยใช่ไหมคะ ดูที่จิตแต่อย่างเดียวไปเลยใช่ไหมคะ เอากายเป็นแค่ฐานสติเวลาจิตหลง ใช่ไหมคะ
หลวงตา : ผู้ที่น้อมเห็นร่างกายตนเองเน่าเปื่อยผุพังในเบื้องต้นนั้นเป็นขั้นสัญญา เมื่อน้อมจนเห็นลงแก่ใจ เห็นร่างกายของตัวเองเน่าเปื่อยผุพังหรือรู้สึกที่ใจจริงๆ เป็นการเห็นที่เป็นปัญญาที่รู้แจ้งขึ้นมาที่ใจ ถ้าเห็นอย่างนี้จะต้องกัดติดจดจ่ออย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่ให้เว้นวรรคจากการพิจารณาเลย ก็จะปลงปล่อยวางร่างกายตนเองจนเกิดปัญญาญาณ (รู้แจ้ง) แล้วเป็นปัญญารู้พ้น (วิมุตติญาณทัสสนะ)
***ข้อห้าม ผู้ที่เห็นอย่างนี้แล้วไม่ควรไปยุ่งวุ่นวายกับจิต เช่นหลุดไปอยู่กับความว่าง ความโปร่งโล่งเบาสบาย ว่างๆ หรือหลงไปเห็นแสงเห็นสี เห็นนิมิตต่างๆ หรือไปฝึกจิตเห็นจิต ไม่พิจารณากายต่อเนื่อง หรือหลงไปในทางโลกๆ เช่น ดูหนังฟังเพลง ฯ
กรณีของโยมนี้ ได้เคยเกิดปัญญารู้แจ้งขึ้นมาที่ใจครั้งหนึ่งแล้วว่า "เห็นน้ำตกไหลแรงแต่ใจสงบนิ่ง" ถ้าเอาอาการของใจที่คิดปรุงแต่งเกิดดับไหลไปไม่หยุดมาเทียบเคียงกับน้ำตกที่ไหลแรง แต่ใจสงบนิ่ง แล้วมีปัญญารู้แจ้งที่ใจอยู่อย่างนั้น แล้วสิ้นหลงสังขารคือสิ้นหลงคิดปรุงแต่ง (สังขาร) และสิ้นใจยึดถือใจที่สงบนิ่ง(วิสังขาร)
โดยเห็นว่าทุกคิด ทุกกริยา ทุกอาการที่เกิดขึ้นที่ใจทุกขณะจิตปัจจุบันล้วนเป็นสังขารปรุงแต่งทั้งนั้น ปล่อยวางทิ้งไปเสียให้หมด สิ่งใดในอดีตที่คิดขึ้นมาในปัจจุบันก็ปล่อยวางไปเสียให้หมด สิ่งใดที่ยังอยากได้ หวังไว้ ปรารถนาไว้แม้แต่ความสุขสงบหรือนิพพาน ก็ปล่อยวางไปเสียให้หมด หรือสิ่งใดที่รู้แล้ว เห็นแล้ว ก็ปล่อยวาง ปล่อยวางสิ่งที่รู้อยู่ เห็นอยู่ทุกขณะปัจจุบัน สิ่งใดยังไม่รู้ ไม่เห็น ยังไม่ได้ ยังไม่เป็นก็ปล่อยวาง อยู่กับ "รู้" ด้วยใจของเจ้าตัวเองว่า ไม่ได้เข้าไปปรุงแต่งยึดถือสิ่งใด ทั้งไม่ได้ยึดถือใจที่ไม่ยึดถือหรือผู้รู้แจ้งนั้นด้วย
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2560