ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ตามที่หลวงตาได้แนะนำสั่งสอนให้มีสติเฝ้าสังเกตประตูใจเมื่อรู้สึกว่าจิตตสังขารทำงาน (มีความคิดเกิดขึ้น) ให้เราตัดทิ้งเลย (ไม่สนใจมัน) หรือว่าปล่อยให้เขาคิดไปไม่ปัดทิ้งแต่เราสังเกตเฉย ๆ เพื่อจะได้เป็นการสั่งสอนอบรมจิตให้เกิดสติปัญญา (ไม่รู้ - รู้ -ไม่มีอะไรกับอะไร) กราบขอบคุณครับ
หลวงตา : เพียรสังเกต รู้ ละ ปล่อยวางไปทั้งหมดทุกขณะปัจจุบัน ไม่เอาอะไร ไม่คาดหวังว่าจะได้อะไร จะเป็นอะไร เพราะไม่มีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเราอยู่จริงเลย อดีตก็อย่าเอามาค้างอยู่ในใจ ปัจจุบันก็ไม่มีอะไรค้างอยู่ในใจ สิ่งใดที่รู้แล้ว เห็นแล้ว สัมผัสแล้วก็ละ ปล่อยวางไปเสียทั้งหมดทุกขณะปัจจุบัน สิ่งใดที่ยังไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ ไม่เป็นก็ปล่อยวางไปเสียทั้งหมดในปัจจุบัน ธรรมชาติของใจหรือธาตุรู้เขาก็ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่อาจคิดปรุงแต่งหรือแสดงอาการใดได้ ไม่อาจจะรับรู้เขาได้ทางอายตนะใด เขาจึงเหมือนกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล (ไม่ใช่ความรู้สึกว่างภายในใจ ซึ่งเป็นเวทนาขันธ์)
ดังนั้น โดยความเป็นจริงแล้ว จึงไม่อาจเอาสิ่งใด คนใด หรือเรื่องราวใดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตมาติดค้างอยู่ในใจได้ ที่รู้สึกว่ามีอะไรมาอยู่ในใจนั้น แท้ที่จริงเป็นเพียงเอาสัญญาความจำได้หมายรู้มาคิดปรุงแต่งซ้ำ ๆ ตามความพอใจ ติดใจ ยินดี หรือไม่พอใจ จึงหลงเล่น หลงยึดถืออยู่กับความจำและความคิดปรุงแต่ง
เมื่อรู้ความจริงอย่างนี้ จึงปล่อยวางสังขาร คือความปรุงแต่งทั้งหมด เมื่อไม่มีตัวเราเข้าไปหลงยึดถือสังขารทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สังขารคือความจำกับความคิดปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็จะดับไปของเขาเอง เขาเกิดเอง เขาก็ดับเอง...........
ส่วนใจก็มีแต่ชื่อ แต่ไม่มีตัวใจ หรือ เมื่อหลุดพ้นจากสังขาร ก็ว่างจากตัวใจหรือว่างเปล่าจากตัวตน เมื่อสิ้นหลงว่ามีตัวตน ก็ไม่มีผู้ยึดถือ เมื่อไม่ยึดถือก็สิ้นกิเลส พ้นทุกข์ นิพพาน แล้วก็จะรู้เอง
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2560