ผู้ถาม : ขณะนี้ศิษย์สวดถอนคำอธิษฐานทุกวันครับ วันละหนึ่งครั้ง ตอนนี้เข้าใจคำว่าในความเคลื่อนไหวมีความไม่เคลื่อนไหว และในน้ำที่ไหลมีน้ำที่นิ่งแล้วครับ มันเป็นเหมือน สติ สมาธิ จิตตั้งมั่นนิ่งอยู่ภายใน ส่วนสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมแผ่กระจายออกรอบตัว ปัญญาหมุนจี๋จี๋ พิจารณาธรรม ตามความเป็นจริง ทุกขณะปัจจุบัน
หลวงตา : รู้อยู่ เห็นอยู่ ว่าในความเคลื่อนไหวมีความสงบ หรือ มีความสงบในความเคลื่อนไหว ในความไหลมีความนิ่ง (น้ำไหลนิ่ง) ในความมี มีความไม่มี (ความว่างเปล่า) หรือความมีทั้งหมด มีอยู่ในความไม่มี แต่ไม่มีผู้ยึดถือความเคลื่อนไหว ความไหล หรือ ความมี และไม่มีผู้ยึดถือแม้ความนิ่ง ความสงบ ความไม่เคลื่อนไหว ความว่าง ได้แต่อาศัยสังเกตรู้เห็นอย่างนั้น ไม่ยึดอารมณ์ที่ถูกรู้ ไม่ยึดว่าเราเป็นผู้รู้ ไม่ยึดว่าเราเป็นผู้เห็น ไม่ยึดว่าเราเป็นผู้เข้าใจ เพราะไม่มีตัวตนของเราอยู่จริงมาตั้งแต่เริ่มแรก ไม่มีตัวตนของเราอยู่จริงในปัจจุบัน และไม่มีตัวตนของเราอยู่จริงในอนาคต ให้เพียรเห็นความจริงเช่นนี้
ผู้ถาม 2 : กราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ หลวงตาได้พูด ได้สอนแบบนี้มาตลอดเจ้าค่ะ แต่มันเพิ่งจะเข้าใจไปถึงใจเจ้าค่ะหลวงตา สาธุเจ้าค่ะ
หลวงตา : ให้อยู่กับ "รู้แก่ใจ" ทุกขณะปัจจุบันว่า สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ไปอยู่กับพยายามที่จะดูหรือรู้อะไร หรือให้ "รู้แก่ใจ" อยู่ตลอดเวลาว่า ทุกอย่างมีอยู่ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ (ความคิด กริยาหรืออาการต่าง ๆ ทั้งหมด) หรือร่างกายและจิตใจที่เป็นสังขาร คือ สิ่งปรุงแต่ง ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และความไม่มีอะไรปรุงแต่ง (วิสังขารหรือความว่างเปล่าจากตัวตนของใจ) แต่ทั้งสังขาร และ วิสังขาร ไม่มีผู้ยึดถือ ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ปฏิบัติผิดโดยรังเกียจสังขาร และพึงพอใจวิสังขาร โดยมีตัวใจหรือมีตัวตนไปติดแช่อยู่กับความรู้สึกสงบ นิ่ง เฉย ว่าง ว่าง ว่าง ........ ให้อยู่กับ "รู้แก่ใจ" ว่าไม่มีตัวตนของผู้เสวย หรือผู้ยึดถือทั้งสังขารและวิสังขารตลอดเวลา หรือสิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น
ผู้ถาม 2 : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2560