ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตาค่ะ คุณอาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายได้ฝากเรียนถามหลวงตาว่าก่อนตายนั้นถ้าเราได้เตรียมตัวแล้วแต่สู้เวทนาไม่ไหว ในขณะนั้นถ้าตายไปจะเป็นอย่างไรคะ ถ้า ณ ขณะนั้นจิตเราเศร้าหมองเพราะเวทนา บุญที่ทำมาจะช่วยเราไหมคะ กราบขอบพระคุณในความเมตตาค่ะ
หลวงตา : ต้องเพียรน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า เพื่อไม่ให้จิตเศร้าหมอง ด้วยคำบริกรรมว่า "พุทโธ" อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนดับจิตสุดท้าย พร้อมกับทุกขณะจิตปัจจุบันฝึกซ้อมปล่อยวางร่างกายและจิตที่มีความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่งแม้แต่ความรู้สึกว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นตัวตนของเรา ก็ให้เห็นว่าเป็นสังขารปรุงแต่ง ให้ค่อย ๆ ดับไป ดับไป .. ๆๆๆๆๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดเพื่อไม่ให้เหลือตัวเรา เป็นการดับสนิทไม่มีส่วนเหลือตัวเรา หรือตัวตนของเราในภพนี้และภพไหน ๆ ที่ต้องเกิดใหม่ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป
ความจริงไม่มีตัวตนของเรามาตั้งแต่แรกแล้ว แต่มาหลงคิดปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง แล้วหลงยึดมั่นถือมั่นจริง ๆ จัง ๆ เหมือนกับตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นผีเลยว่ามีตัวตนอย่างไร แต่ต่อมาดูหนังดูละครผี ก็เลยมาหลงคิดปรุงแต่งว่าผีมีรูปร่างต่าง ๆ เหมือนกับที่ดูหนังดูละครมา แล้วก็หลงกลัวผีขึ้นมาจริง ๆ จะเห็นได้ว่าแต่ละคนคิดปรุงแต่งรูปร่างของผีไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครดูหนังดูละครผีอย่างไรมา ซึ่งหนังผีไทยกับหนังผีต่างชาติก็มีรูปร่างไม่เหมือนกัน ให้พิจารณาให้ดี ๆ ว่าการปรุงแต่งว่าตัวตนของเรา ก็เหมือนกับการปรุงรูปร่างของผี ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในความรู้สึกแต่เดิม แต่มาปรุงแต่งเอาในภายหลัง ดังนั้น ความรู้สึกว่ามีเรา มีตัวเราหรือมีตัวตนของเรา จึงมาหลงปรุงแต่งขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งมันไม่มีตัวเราที่เป็นตัวตนคงที่อยู่จริงในร่างกายและจิตปรุงแต่งที่กำลังจะดับไปหมดสิ้น
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาค่ะ จะเรียนคุณอาตามที่หลวงตาสอนค่ะ หลวงตาคะ ถ้าเวทนามันแรงมากหละคะจนเราไม่สามารถพุทโธได้ เราจะทำอย่างไรดีคะ
หลวงตา : ต้องบริกรรมเร็ว ๆๆๆ ......... จนกระทั่งจิตมันบริกรรมของมันเอง ฝึกซ้อมบริกรรม "พุทโธ" ด้วยความนอบน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้าเร็ว ๆๆๆ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนกระทั่งเห็นว่าเราอยากจะหลับแล้ว แต่จิตมันไม่เลิกบริกรรม "พุทโธ" ก็ปล่อยให้จิตมันบริกรรมของมันไปอย่างนั้น แต่ตัวเราเหมือนกับนอนไม่หลับเพราะรู้จิตที่บริกรรม "พุทโธ" ไม่เลิกเลยทั้งวันทั้งคืน ซึ่งความจริงร่างกายหลับนอนกรนด้วยซ้ำไป ลองตั้งกล้องถ่ายตัวเองไว้ ส่วนจิตกับผู้รู้ไม่หลับ ก็ให้เขาทำงานคู่กันไปอย่างนี้จนกว่าจิตสุดท้ายที่บริกรรมพุทโธดับไป ส่วนผู้รู้ซึ่งเป็นจิตเดิมแท้หรือธาตุรู้ก็ดับหายไปเหมือนดั่งเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ หรือเหมือนกับเปลวไฟเทียนดับไป เป็นการดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ
ผู้ถาม : แต่ถ้าเราสามารถสู้เวทนาไหว การรู้ตัวทั่วพร้อมจะดีกว่าใช่ไหมคะ
หลวงตา : ให้ปล่อยวางทั้งหมดตลอดเวลา แม้แต่ความรู้สึกตัวก็เห็นว่าเป็นสังขารปรุงแต่งที่ต้องดับไปเช่นเดียวกันกับจิตที่คิดปรุงแต่งอื่น ๆ อาจสิ้นผู้เสวยหรือสิ้นผู้ยึดมั่นตั้งแต่ก่อนดับจิตสุดท้ายก็ได้
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2560