ผู้ถาม : กราบส่งผลการปฏิบัติธรรมเจ้าค่ะหลวงตา ครั้งสุดท้าย หลวงตาให้ปล่อยวางความตั้งใจ โยมได้น้อมไปเพียรปฏิบัติจนเห็นว่า เรามีตัวรู้มารู้ตัวเรา เหมือนทำอะไรก็มีสติและปรุงแต่งไม่ยาว สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้กลิ่น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าลิ้มรส สักแต่ว่าสัมผัส ความคิดที่เกิดเองก็ปล่อยมันเกิดไปอย่างนั้น ส่วนความคิดที่ตั้งใจคิด หรือเวลาคุยกับผู้อื่นก็จะสังเกตว่ามีผู้เห็นหรือสติมาดู มารู้เราตลอด เหมือนขบวนรถไฟความเร็วสูงมีตัวเดียว เห็นก็ดับไม่ปรุงต่อ อารมณ์ยังไม่มีให้ได้รับรู้ แต่ก็เป็นสติแบบธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าตั้งใจหรือฝืนเหมือนที่ผ่านมา ตอนนี้ยังเป็นต่อเนื่องค่ะ กำลังสังเกตดูใจว่าจะต่อเนื่องหรือมีอะไรมาแทรกได้อยู่ ขอคำชี้แนะหลวงตาค่ะ สังเกตมาแล้วเจ้าค่ะว่ายังไม่ต่อเนื่องตลอดเวลา แค่คงอยู่ได้นานกว่าตอนที่ขาดสติค่ะ
หลวงตา : ปล่อยวางทั้งหมด แม้แต่ผู้รู้ ไม่ยึดถือว่าเราเป็นผู้รู้ หรือผู้รู้เป็นเรา
ผู้ถาม : น้อมรับไปเพียรปฏิบัติต่อไปค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ ขอถามอีกข้อค่ะหลวงตา ตอนนี้โยมก็ไม่รู้สึกว่ามีตัวเรา ไม่มีอารมณ์อยากได้ หรือ อยากทำอะไร รู้แต่ปัจจุบัน หากคิดเรื่องอดีตหรืออนาคตหรือเรื่องอื่น ๆ มันมาก็ไม่ยึดมันสักอย่าง รู้สึกเหมือนไม่มีอะไรให้วางแล้ว ขอหลวงตาชี้แนะเจ้าค่ะ
คือตอนนี้ก็ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีความอยากได้อะไร ไม่หลงไปกับอารมณ์ มีก็แต่เพียงจิตตัวที่คิดได้ พูดพากษ์ได้ของมันไปเอง พอถึงจุดนี้ เราจะวางอะไรต่อไปเจ้าคะ ขอหลวงตาชี้แนะค่ะ
หลวงตา : ถ้าสิ้นสงสัย สิ้นผู้เสวย สิ้นกิเลส ก็สิ้นทุกข์ จบซะที
ผู้ถาม : สาธุ สาธุ สาธุ โยมขอเป็นดอกบัวดอกหนึ่ง ที่มีส่วนส่งเสริมส่งต่อขยายให้ดอกบัวดอกอื่น ๆ บานต่อไปเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณองค์หลวงตาที่ช่วยสั่งสอนศิษย์มาจากดอกบัวใต้น้ำมาจนถึงทุกวันนี้เจ้าค่ะ
หลวงตา : สังเกตให้ดี ๆ นะว่า สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่นหรือยัง หรือ พยายามยึดมั่นถือมั่นความเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ผู้ถาม : หลวงตาคะ หนูสังเกตตัวเองแล้วค่ะว่ายังไม่ต่อเนื่องจริง ๆด้วย น้อมรับการบ้านหลวงตาไปปล่อยวางผู้รู้ต่อไป ไม่ให้ความหมายอะไร ว่าเราถึงไหน เราเป็นอะไร วาง ๆๆๆ ขอบพระคุณหลวงตาที่ชี้แนะเจ้าค่ะ
หลวงตา : สิ่งใดปรากฏให้ถูกรู้ได้ ไม่เที่ยง เกิดดับได้ เปลี่ยนแปลงได้ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ (ทุกขสัจ) สิ่งนั้นเป็นความว่างเปล่าจากแก่นสารสาระ ไม่มีตัวตนคงที่ จึงไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือตัวตนของเราจริง ๆ เป็นเราหรือตัวเราโดยสมมติเท่านั้น แล้วก็แตกดับไป
ให้รู้เห็นเข้าใจอย่างนี้ด้วยใจ รู้จากใจ แต่ไม่มีตัวตนของใจ ไม่มีที่ตั้งของใจ ไม่ปรากฏกริยาหรืออาการใดให้ถูกรู้ได้ ไม่มีการเกิดดับ เปลี่ยนแปลง
"ใจ" เท่านั้นที่รู้ใจ คือ รู้ว่าใจเป็นผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจด้วยใจ รู้แบบพุทธะ คือ รู้จริง รู้แจ้ง รู้พ้น รู้สิ้นยึด ใจไม่อาจคิดหรือแสดงกริยาอาการใดได้เลย ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด จึงไม่อาจยึดถือสิ่งใดได้เลย ไม่อาจยึดถือทั้งสิ่งที่ถูกรู้ (สังขาร) และไม่อาจยึดถือใจ (วิสังขาร) นั้นเองด้วย
"ใจ" จึงพ้นจากทุกข์ (ทุกขสัจ) หรือ สิ้นหลงสังขาร จึงจะเป็น "ใจ" (วิสังขาร)"
และเมื่อสิ้นผู้เสวยหรือสิ้นผู้ยึดถือทั้งสังขารและใจซึ่งเป็นวิสังขาร ก็สิ้นทุกข์ใจ (นิพพาน)
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2560