ผู้ถาม : สภาวธรรม หรือคำแทนอะไรในปริยัติ หรือเป็นภาษาพูดอ่านเขียนทั้งหมดมันเป็นสมมติขึ้นมาหมด แค่เพื่อให้ตัวตนอยู่ที่มีความเข้าใจผิดอยู่จนมาเป็นการปรุงแต่ง แค่ปรับความเข้าใจผิดทางให้เห็นความจริงตามปกติเท่านั้นเอง
ถ้าเห็นความจริงตามธรรมชาติเดิม ๆ ก็ไม่มีอะไรจะต้องยึดถือไว้เป็นตัวตนได้เลย เหมือนกับว่าที่จริงตัวตนเราที่มารวมกันก็เป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และธาตุรู้ เป็นส่วนประกอบที่มีเหมือน ๆ กับทุกสิ่งอยู่ภายในโลกนี่เอง แล้วทุกธาตุเค้าก็มีหน้าที่บทบาทของเค้าตามธรรมชาติที่ดำเนินไปตามเหตุของเค้าตามธรรมดา ๆ
แต่ความหลงนี่เองเป็นจุดกำเนิดการรวมตัวเป็นตัวตนว่าเป็นเรา แล้วก็หลงต่อเอาตัวสมมติขึ้นมา พยายามเอาตัวหลงเข้าดัดแปลงจากหน้าที่ตามธรรมชาติเดิม ๆ ของเค้ามาตลอด แม้แต่จะพยายามเอาตัวเราจะมาช่วยตัวเราให้ไม่หลง ทั้งหมดเป็นกระบวนการให้ตัวหลงที่ยึดหน้าที่จากหลงอยู่ให้เห็นว่า ไอ้ที่พยายามทำอะไรอยู่นี้มันหลงทั้งนั้น ยิ่งดิ้นมากก็ยิ่งหลง แค่เข้าใจไม่มีอะไรไปทำอะไรได้ รู้เฉย ๆ ปล่อยให้มันทำหน้าที่เดิม ๆ ของเค้า ก็จะเห็นว่าการที่เอาตัวเราไปทำอะไรมากไปกว่ารับรู้เฉย ๆ มันเป็นการหลงไปพยายามดัดแปลงหน้าที่ให้ไม่เป็นไปตามปกติแล้ว แค่เข้าใจทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตามหน้าที่แท้จริงเป็นปกติธรรมชาติ ไม่หลงเอาตัวยึดลงไปร่วมเลยแม้แต่ซักนิด แค่รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและดับไปตามหน้าที่ตามเหตุและผลอย่างอิสระจริง ๆ ที่ผ่านมาเข้าใจผิดว่าตัวเราทำอะไรเพื่อให้รู้ แต่ความจริงแค่เข้าใจกลับด้านว่าไม่มีเราไปรู้อะไรทั้งนั้น หากมีตัวเราเป็นการยึดเดินกลับไปทางหลงทั้งสิ้น
เพิ่งรู้สึกทบทวนความเข้าใจแบบนี้ค่ะหลวงตา แต่ไม่รู้มันเป็นสัญญาหรือเปล่าคะหลวงตา หนูเริ่มเป็นจินตมยปัญญาบ้างแล้วใช่ไหมคะหลวงตา
หลวงตา : สาธุ ภาวนามยปัญญา ก็ไปจากสุตมยปัญญา และจินตามยปัญญา
ขณะจิตที่ไม่มีเจตนาคิด และเจตนารู้ ธาตุรู้ที่ไม่อาจคิดได้ มันก็จะรู้ของมันขึ้นมาเอง
หยุดคิด จึงจะรู้ แต่ต้องอาศัยคิด (หลวงปู่ ดูลย์ อตุโล)
ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา เมื่อทราบเหตุความเป็นไปของการยึดมั่นตัวตน ไม่เหนื่อยกับรู้แล้วเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ผู้ถาม : จะเพียรพิจารณาต่อเนื่องที่สุดค่ะหลวงตา
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2560