ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ผมขอกราบเรียนหลวงตาเกี่ยวกับความคืบหน้าในการปฏิบัติครับ ความจริงจะว่าคืบหน้าก็ว่าไม่ได้เพราะมันก็ยังทรง ๆ ขาดบ้างได้บ้างอยู่ครับ บางทีก็หลงไปคิดว่าตัวเองจะปฏิบัติอย่างไรดี ตัวเองอยู่ในขั้นตอนไหน ผมก็เลยคิดวางหลักการปฏิบัติของตัวเองไว้ เอาไว้อ่านตอกย้ำบ่อย ๆ ครับ หลักดังกล่าวนี้ผมเอามาจากที่หลวงตาสอนครับ ถึงผมจะคิดว่าหลักการปฏิบัติของผมถูกต้องตามที่หลวงตาสอนแล้ว ผมก็อดที่จะกังวลไม่ได้ว่าถูกต้องจริง ๆ หรือไม่ จึงขอกราบหลวงตาเมตตาพิจารณาให้ด้วยครับ
ขั้นตอนการปฏิบัติของเรา
1. อยู่กับรู้ ให้มีสติอยู่กับรู้ (รู้ว่าจิตคิดอะไรอยู่) มันจะคิดอะไรก็ตาม คิดดี คิดชั่ว คิดเรื่องอะไรก็ตาม ให้รู้ว่ามันคิดก็พอ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเองดับเอง ไม่มีผู้ทำให้เกิด ไม่มีผู้ทำให้ดับ ไม่มีผู้เสวย ไม่ช่วยมันคิด ไม่ดูด ไม่ผลัก ไม่หนีไม่สู้ สักแต่ว่ารู้ให้กัดติดจดจ่อตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย (ความรู้สึกโปร่ง โล่ง เบาสบาย ความรู้สึกอึดอัด ความรู้สึกต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นผู้รู้จะรู้ว่ามีความรู้สึกอย่างไร ให้อยู่กับรู้ตัวนี้ ผู้รู้มันรู้ว่าเราคิดอะไร ก็ให้อยู่กับรู้ตัวนี้ อะไรที่ถูกรู้ได้นั้นเป็นสิ่งที่ถูกรู้ทั้งนั้น ไม่ใช่ผู้รู้ มีวิธีเดียวที่จะไปถึงผู้รู้ได้ คือปล่อยวางสิ่งที่ถูกรู้ทั้งหมดเสีย การพยายามทำให้ไม่ปรุงแต่ง การพยายามทำให้นิ่งหรือทำให้ว่าง ความดิ้นรนที่จะออกจากทุกข์ ความปรุงแต่งต่าง ๆ ความรู้สึกว่าเป็นตัวเราที่พยายามจะเอาตัวเราออกจากอะไร ตัวเราจะไปเอาอะไรหรือไม่ หรือความคิดที่ตรวจสอบตัวเองว่าขณะนี้เรากำลังมีกิเลสจะไปเอาอะไร ไม่เอาอะไรหรือไม่ ล้วนเป็นสังขารปรุงแต่ง เป็นสิ่งที่ถูกรู้ทั้งสิ้น ให้ปล่อยวางมัน คือรู้ว่ามันเป็นสังขารปรุงแต่ง ความจริงไม่มีเราตั้งแต่ต้นแล้ว มีเพียงกายเนื้อ กายจิต และธาตุรู้รวมกันอยู่ผสมกับความหลงว่าสิ่งที่รวมกันอยู่นี้คือ "เรา" เราจึงหวงแหนมัน ต่อมาเมื่อเราต้องการพ้นทุกข์จึงหาวิธีการต่าง ๆ มาทำลาย เพื่อที่กำจัดตัวตนของ "เรา" ซึ่งแท้จริงไม่มีอยู่จริง วิธีการต่าง ๆ เหล่านั้นล้วนอยู่ในวังวนแห่งความหลงทั้งสิ้น เราจะไม่หลงทำลายสิ่งที่ไม่มีจริงอีกต่อไป เราเพียงแต่รู้ว่ากายเนื้อนี้ก็สักแต่เป็นกายเนื้อ ทำงานไปตามหน้าที่ของมัน ส่วนกายจิตก็คือกายจิตเป็นสังขารปรุงแต่งก็ทำงานไปตามหน้าที่ของมัน กายเนื้อจะเป็นอย่างไร กายจิตจะคิดอย่างไร เราเพียงแต่รู้มันแต่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน ส่วนผู้รู้นี้ก็เป็นเพียงธาตุรู้ก็ทำหน้าที่รู้ของมันไป ก็เพียงเท่านั้น) "กายเนื้อก็คือกายเนื้อเมื่อเกิดอาการทางกายขึ้นอย่างไรก็เป็นเพียงอาการของกาย ส่วนกายจิตไม่ว่าเกิดอาการอย่างไรขึ้น มันคือสังขารปรุงแต่งทั้งสิ้น ทั้งกายเนื้อและกายจิตไม่มีส่วนไหนที่เป็นเราเลย"
2. ข้าพเจ้าหลงค้นหาวิธีกำจัดตัวตนมานานแสนนาน ความจริงไม่มีวิธีทำลายสิ่งที่ไม่มี แท้ที่จริงตัวตนไม่มีอยู่จริง ทั้งสังขารและวิสังขารไม่ใช่เราทั้งนั้น แค่เพียงเรารู้ก็จบสิ้น
3. เมื่อรู้ว่าความจริงตัวเราไม่มีอยู่จริง ที่แท้เราหลงยึดธาตุสี่ขันธ์ห้าว่าเป็นเรา เราเพียงแต่รู้มันเห็นมัน มันจะเกิดอาการอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของมัน เท่านี้ก็เพียงพอต่อการอยู่ในโลกอย่างไม่เป็นทุกข์แล้ว
หลวงตา : สังขารกายเนื้อ สังขารกายจิต และผู้รู้ (วิสังขาร) คงทำหน้าที่ของเขาตามปกติธรรมชาติ ไม่มีอะไรยึดถืออะไร ไม่มีตัวตนของเรายึดถืออะไร ธรรมชาติคงดำเนินไปตามปกติ จนกว่าสิ้นสังขาร ก็จะมีแต่วิสังขารเท่านั้น
กายและจิตที่คิด ที่ปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติปรุงแต่งที่เกิดเองดับเอง ไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา
เมื่อตัวเราไม่มี หรือไม่มีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา ดังนั้นตัวเราที่รู้สึกว่าเรามีความคืบหน้าในการปฏิบัติ ทรง ๆ อยู่ หรือตัวเราถอยหลังหรือไม่คืบหน้า ล้วนแต่เป็นสังขารหรืออาการที่ปรุงแต่ง ไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา
เมื่อ เราไม่มี หรือ ไม่มีตัวเรา นอกจากร่างกายและจิตใจที่คิดหรือปรุงแต่งได้แล้ว ก็เป็นธาตุรู้ที่ไม่มีตัวตน ไม่อาจมีกริยาอาการใดได้ มีแต่รู้ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีกริยาหรืออาการใดเลย แล้วทำไมยังพยายามหาวิธีการพ้นทุกข์ให้ตัวเรา ทำไมยังหาถูกกลัวผิดให้ตัวเราอยู่อีก ทำไมยังพยายาม ๆๆๆๆ ........ อยู่อีก
ปล่อยวางหมดทุกขณะ ไม่มีผู้เอา ไม่มีผู้ได้ ไม่มีผู้ถึง ไม่มีผู้เป็นอะไร มีแต่ธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้นเอง คือธรรมชาติใดที่ปรุงแต่ง (สังขาร) ย่อมเกิดเองดับเองเป็นธรรมดา ส่วนใจหรือผู้รู้หรือธาตุรู้ไม่ปรากฏ
สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่น สิ้นผู้จะเอา สิ้นความอยากได้ อยากเอา อยากเป็น อยากบรรลุ อยากถึง แม้อยากนิพพาน สิ้นความปรารถนา หรือ ดับความอยากสนิทไม่มีส่วนเหลือ ก็พ้นทุกข์ทันที
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2560