ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ลูกได้กราบเรียนหลวงตาในคอร์สที่ศาลาธรรมปทุมธานีว่า จะเพียรรู้ละปล่อยวางออกจากความชอบความชังทุกขณะจิตทุกขณะอารมณ์ปัจจุบัน กลับมาจากคอร์สลูกก็มีสติตั้งที่ใจที่หลวงตาสอน รู้ละปล่อยวางไปทุกขณะปัจจุบันไม่ได้ขาด กระทบแล้วพูดพากษ์บ่น หรือมีอาการกระเพื่อมวาบ ๆ ใด ก็รู้ละปล่อยวางไป
เมื่อคืนขณะที่เดินจงกรมลูกก็เพียรสังเกตรู้ละวางไป ขณะที่สังเกตอยู่มันรู้เข้าใจอะไรขึ้นมา มันก็จะมีผู้รู้ที่รู้ซ้อนไปอีกที ที่มันปรุงมีเรารู้ เรารู้ เรารู้ ... ลูกก็รู้ละวางต่อไป จนขณะหนึ่งมันเหมือนความรู้สึกบางอย่างที่มันเห็นว่าสุดไอ้ความปรุงตัวเรา ตัวเรา ตัวเรา ... มันไม่มีอะไรอีก มันเหมือนสุดขอบแล้ว มันเหมือนหลุดจากโลกออกมาข้างนอก เหมือนโลกนั้นมันปรุงซ้อน ๆ กันอยู่ แต่ข้างนอกนั้นมันเงียบ มันไม่เคลื่อนไหว แต่มันก็รับรู้อยู่ แต่ข้างนอกนั้นไม่มีตัวเรานะเจ้าคะ เห็นแป๊บขณะหนึ่งมันก็ปรุงต่อ ต่อสิ่งที่รับรู้นั้นต่อ
ลูกขอกราบเรียนถามหลวงตาว่า หน้าที่ต่อไปของลูกคือปรุงอะไรก็รู้ละปล่อยวางต่อไปใช่ไหมเจ้าคะ หรือหากลูกเห็นผิดอย่างไร กราบหลวงตาชี้แนะสอนสั่งด้วยเจ้าค่ะ และลูกกราบขอขมาโทษที่รบกวนธาตุขันธ์หลวงตาเจ้าค่ะ ลูกจะตั้งใจประพฤติดำรงตนในศีล ในธรรม และปฏิบัติบูชาคุณพระพุทธเจ้า พ่อแม่ครูอาจารย์ และบูชาคุณหลวงตาที่เมตตาสู้ตรากตรำธาตุขันธ์เพื่อพร่ำสั่งสอนพวกเราทุกคนจนกว่าชีวิตจะหาไม่เจ้าค่ะ น้อมกราบหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : รู้อย่างนั้นแหละ เขามีอาการหรือมีสภาวะอย่างใดก็ได้แต่แค่รู้ หรือ อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับใจของเจ้าของ ที่มีแต่รู้ที่ไม่มีตัวใจหรือไม่มีตัวรู้ ไม่อาจคิด หรือไม่อาจปรุงแต่งได้
รู้ไม่คิด คิดไม่ใช่รู้ ไม่เอาใจของเจ้าของไปอยู่กับอะไร เป็นใจที่รู้ซื่อ ๆ ไม่เป็นคนคิด แต่รู้ทุกคิดไม่ติดไป และไม่หักหาญ และไม่พยายามไปดู หรือ พยายามไปรู้อะไร
ได้แต่แค่สักแต่ว่ารู้ ไม่มีผู้เสวย ไม่มีผู้ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความคาดหมายยึดถือว่าอยากจะให้เป็นอะไร หรือ เพื่อจะไปเอาอะไร ไม่มีผู้ยึดถือทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และ ผู้รู้ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา หรือมีตัวเราเป็นผู้รู้
อย่าทิ้งรู้ แต่ไม่ยึดรู้
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2560