ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตา
ปุจฉา ข้อที่หนึ่งเจ้าค่ะ หลังจากที่หนูได้มากราบนมัสการหลวงตาแล้วเกิดปีติขึ้นน้ำตาไหลแล้วหลวงตาบอกให้หนูระลึกถึงความปีติที่ทรงไว้ ความเย็นฉ่ำของน้ำตาไหลลงสู่ใจ แล้วจะค่อย ๆ หายไป แล้วกายเป็นอุเบกขาไปในที่สุด แต่ความปีติยังคงมีอยู่ เมื่อขณะเดินทางกลับบ้านฝนตกก็ระลึกถึงความปีตินั้นแล้วขนลุกตามแขนทั้งสองข้าง แล้วก็ค่อย ๆ หายไปเจ้าค่ะ อาการเช่นนี้จะนำมาพิจารณาจะเป็นเช่นไรเจ้าคะหลวงตา
หลวงตา : อารมณ์ปีติ สุข อุเบกขาเวทนา เขาหายไปแล้ว ก็ให้อยู่กับรู้ สักแต่ว่ารู้ ทุกขณะปัจจุบัน ถ้าอยู่กับรู้ สักแต่ว่ารู้ ไม่ยึดถือทั้งอารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้ และไม่ยึดถือว่าตัวเราเป็นผู้รู้ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เพราะธรรมารมณ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และจิตหรือวิญญาณซึ่งเป็นผู้รู้ ล้วนแต่เป็นขันธ์ห้า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา หรือไม่ใช่ตัวตนของเรา ให้ปล่อยวางความหลงยึดถือเสีย เรียกว่า "วิปัสสนา" แต่ถ้าเอาตัวเราไปรู้อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพียงอารมณ์เดียว เช่น คำบริกรรม "พุทโธ" อย่างเนื่องไม่ขาดสาย โดยไม่หลงขาดสติไปคิดฟุ้งซ่าน หรือไปรู้อารมณ์อย่างอื่น ก็จะเกิดอารมณ์ปีติ สุข อุเบกขา เรียกว่า "สมถะ"
สมถะ กับ วิปัสสนา ต่างกันตรงที่
"สมถะ " จะเอาตัวเราไปรู้อารมณ์หรือเครื่องล่อจิต แต่
"วิปัสสนา" จะปล่อยวางทั้งอารมณ์ที่ถูกรู้ และปล่อยวางตัวเราผู้รู้อารมณ์ คือ ไม่หลงยึดถืออารมณ์หรือสิ่งที่ถูกรู้ และ ไม่ยึดถือผู้รู้ว่า ตัวเราเป็นผู้รู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา ได้แต่สักแต่ว่ารู้ซื่อ ๆ ทุกขณะจิตปัจจุบัน
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2560