ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ พอดีมีปัญหาเรื่องการปฎิบัติธรรมปรึกษาหลวงตาครับ คือช่วงสองวันก่อนเวลานั่งวิปัสสนากรรมฐานจะมีกล้ามเนื้อขากระตุกเป็นระยะโดยไม่ทราบสาเหตุซึ่งรบกวนการทำวิปัสสนากรรมฐานมาก ศิษย์เลยใช้วิธีเร่งณานสุขให้มากขึ้นจนถึงจุดสูงสุดแล้วปรากฏว่าอาการกระตุกขารบกวนจิตใจน้อยลง แล้วก็ทำวิปัสสนาต่อ เพราะระดับของฌานลดลง อาการกระตุกของกล้ามเนื้อขาก็เป็นอีก ก็เลยทำวนแบบนี้ซ้ำๆ มันจะเป็นการติดณานไหมครับ แล้วศิษย์ก็ใช้ณานสุขเป็นตัวมอนิเตอร์ว่าสมาธิดีอยู่หรือเปล่า อย่างนี้ทำได้ไหมครับ ในส่วนของวิปัสสนา ศิษย์รับรู้ถึงจิตที่เคลื่อนไหวในใจที่ว่างเปล่า แต่ยังไม่เข้าใจคำว่ารู้ทุกคิด ความคิดมันผุดขึ้นในใจที่ว่างเปล่าเหมือนน้ำพุ ซึ่งยังไม่เห็นภาพตรงนี้เลยครับ
หลวงตา : น่าจะเกิดจากอาการเกร็งของร่างกายและกล้ามเนื้อ ไม่ผ่อนคลาย อาการใด หรือ สภาวะใด รู้แล้วเห็นแล้ว เป็นแล้วก็ปล่อยวางไป อย่าย้อนเอามาสนใจ ให้ค่า ให้ความสำคัญอีก เพราะหลงอดีตเป็นธรรมเมากังวลกับอนาคตเป็นธรรมเมา รู้ขณะจิตปัจจุบันตามความเป็นจริง อย่างตรงไปตรงมา ไม่เข้าไปเสวย ยึดถือแทรกแซง เรียกว่า ละปล่อยวางทุกขณะจิตปัจจุบัน จึงจะเป็นธรรมะ ธรรมโม
ผู้ถาม : อีกคำถามนึงนะครับหลวงตา ปกติเวลานั่งสมาธิแล้วสติสมาธิตั้งมั่นก็จะสัมผัสได้ถึงณานสุข ก่อนนั่งสมาธิจนสมาธิสติตั้งมั่น แล้วปรากฏว่าเกิดอาการ ร่างกายเหมือนจะเปลี่ยนสภาพ เหมือนจะจางหาย แล้วก็เหมือนถูกบีบทุกบิดให้ผิดรูป รู้สึกแน่นอึดอัดปั่นป่วน บางครั้งก็รู้สึกเหมือน หู อื้อ เหมือนอยู่ใต้น้ำลึกลึก มันเป็นอาการของอะไรครับ
หลวงตา : มันเป็นอาการผิดปกติทางร่างกายจิตใจ ที่เกิดมาจากสาเหตุที่เอาตัวเราซึ่งเป็นขันธ์ห้า ไปเพ่งกดหนักแน่นสิ่งที่ถูกรู้มากเกินไป ไม่แค่รับรู้ด้วยความปล่อยวาง ถ้าเอาตัวเราซึ่งเป็นขันธ์ห้าไปแค่รับรู้อาการของเวทนาเหล่านั้นด้วยควมปล่อยวาง ก็จะไม่เกิดอาการผิดปกติดังกล่าว และจะเป็นสมถะกรรมฐาน แต่ถ้าไม่สนใจยึดถือ ให้ค่า ให้ความสำคัญต่ออารมณ์หรืออาการของเวทนาเหล่านั้น แต่มาสังเกตเห็นตัวเราหรือจิตหรือวิญญาณผู้รู้เวทนานั้นทุกขณะจิตปัจจุบัน ด้วยความปล่อยวาง ก็จะเท่ากับปล่อยวางทั้งเวทนา และปล่อยวางจิตที่คิดปรุงแต่ง ซึ่งรวมเรียกว่าธรรมารมณ์ และปล่อยวางผู้รู้ด้วย จึงเป็นวิปัสสนากรรมฐาน
ผู้ถาม : อ๋ออีกเรื่องหนึ่งครับช่วงนี้นอนทำวิปัสสนากรรมฐานตอนกลางคืนบางครั้งก็เห็นภาพต่าง ๆ นา ๆ ก็เลยอยากถามหลวงตาว่าฝันกับนิมิตต่างกันยังไงครับ
หลวงตา : ความฝันจะเกิดขึ้นในขณะที่หลับไปโดยไม่มีความรู้สึกตัว อาจจะเกิดขึ้นในขณะนั่งสมาธิ แล้วมีอาการเคลิ้ม ๆ กึ่งหลีบกึ่งตื่นก็ได้ บางท่านจะเรียกในลักษณะหลังนี้ว่านิมิต แต่หลวงตาว่าเป็นความฝัน และถ้าหลงเป็นจริงเป็นจัง ก็ทำให้เป็นบ้ามาหลายท่านแล้วส่วนนิมิตจริง มักจะเกิดขึ้นในขณะที่มีสติสัมปชัญญะ คือ นั่งสมาธิ หรือ เดินจงกลมด้วยความรู้สึกตัวอยู่ เช่นเห็นตนเองนอนตาย แล้วเน่าเปื่อยขยายมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นซากศพแห้ง แล้วผุพังสลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟความว่างเปล่าจากตัวตน เป็นต้น อย่างนี้ เอามาใช้ประโยชน์ได้ นำมาน้อมพิจารณาให้ซึ้งถึงใจอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่นานก็บรรลุธรรมได้
ข้อควรระวัง :
นิมิตหรือความฝันใด ถ้าไม่ทำให้พ้นทุกข์ ให้ปล่อยวางไปเสีย อย่าไปหลง อาจจะทำให้เป็นบ้าได้ เคยรู้เห็นผู้ปฏิบัติธรรมที่เป็นบ้าจากการหลงนิมิตในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์มาบอกว่าบรรลุธรรมแล้ว ให้ลุกเดินตามไป จนสุดท้ายกลายเป็นวิ่งตาม แล้วเป็นบ้าไป
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่1 พฤษภาคม 2560