ผู้ถาม : กราบขอโอกาสค่ะ เป็นเพราะที่ผ่านมาเวลาที่เกิดความรู้สึกว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา สติมันไม่เคยทันว่าแท้จริงเป็นแค่ความปรุงแต่ง ตัวตนไม่ได้มีอยู่จริง แต่ไปหลงดิ้นรนหาทางปล่อยวางความรู้สึกเป็นตัวเป็นตน ก็เลยเหมือนยังคิดว่ามีผีอยู่ร่ำไป และคิดหาทางให้เลิกกลัวผี ต้องเพียรสังเกตให้สติมันทันเหรอคะหลวงตา แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่าเราคิดว่าเรามีตัวตนจริง ๆ เลยคิดว่าต้องให้สติไล่ให้ทัน จับให้อยู่หรือเปล่าคะ
เพราะจริง ๆ เราก็ไม่เคยมีอยู่แล้วตั้งแต่แรก เหมือนกับทำอะไรก็ผิด ถ้าไม่ทำก็หลงอีกค่ะ จะปล่อยวางมันยังไงหละคะหลวงตา ในเมื่อก็เข้าใจแล้ว แต่จิตมันไม่ยอมปล่อยวางสักที มันก็ยังหลงโน่น ยึดนี่อยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ หนูก็เบื่อมันเต็มทีแล้วค่ะ จะตัดหางปล่อยวัดไปมันก็เวียนวนกลับมาอีกอยู่ดี
หลวงตา : นี่แหละ จึงว่าเวียนวน วนเวียน
ผู้ถาม : แล้วมันจะวนถึงเมื่อไรล่ะคะหลวงตา
หลวงตา : สิ้นหลง “สังขาร”
ผู้ถาม : หนูเพิ่งรู้สึกตัวว่าหลงไปเป็นสังขาร หาทางดิ้นรนอีกแล้วเจ้าค่ะหลวงตา สติมา ปัญญาเกิด แล้วเจ้าค่ะ
หลวงตา : สังขาร จึง วนเวียน สิ้นหลงสังขาร ความเวียนวนจึงดับ
ผู้ถาม : พอเลิกดิ้นรน ก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เข้าใจแล้วค่ะว่าพอหมดความพยายามอยากได้ อยากเป็นอะไรสักอย่าง ความทุกข์ที่ดูทับถมก็หายไปอย่างทันตาเห็นเลย แถมยิ้มออกในความโง่เมื่อกี้ด้วยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตามาก ๆๆๆๆ เจ้าค่ะ
หลวงตา : ขันธ์ห้า เป็น สังขารทั้งหมด
ความดิ้นรนทะยานอยาก (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) ก็เป็น สังขาร
สิ้นหลงสังขาร ก็เท่ากับสิ้นหลงยึดถือขันธ์ห้า หรือ สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
ภพ ชาติ ชรา มรณะ และความทุกข์ทั้งมวล หรือ วงจรปฏิจจสมุปบาทหักหรือขาดสะบั้นทันที
ผู้ถาม : เจ้าค่ะ หนูรู้ว่าลึก ๆ มันยังมีตัวที่กลัวต้องเกิดอีก กลัวไม่พ้นทุกข์แอบซ่อนอยู่ตลอดเวลาเลย เพียงแต่มันจะแสดงพฤติกรรมออกมาแตกต่างกันในแต่ละครั้ง แต่รากลึกของมันคือ อยากพ้นทุกข์มาก ๆๆๆๆ เจ้าค่ะ ซึ่งทีแรก หนูก็มีคำถามว่า แล้วทำอย่างไรถึงจะสิ้นยึดสิ้นอยากได้ แต่หนูก็ทำอะไรกับความอยากมันไม่ได้ใช่ไหมคะ เพราะความอยาก ความยึดมันเป็นสังขารปรุงแต่ง นอกจาก let it be มันไม่ได้อยาก ไม่ได้ยึด ตลอดเวลาเจ้าค่ะ มันมีเป็นพัก ๆ อ๋อ เข้าใจแล้วค่ะ ว่าหนูไปตั้งเป้าหมาย ยึดเป้าหมายไว้ว่าต้องพ้นทุกข์ให้ได้ ต้องไม่เกิดอีกให้ได้ มันเลยเป็นความอยากขึ้นมา ก็เลยมีความพยายามทำโน่นทำนี่ตลอดเวลาเลย จริง ๆ แล้ว ไม่มีใครเกิดไม่มีใครตาย ไม่มีใครพ้นทุกข์ซะหน่อย มีแต่ขันธ์ห้าที่มันเกิด มันตาย อวิชชาตัวใหญ่จริง ๆ เพราะมันไปยึดว่าขันธ์ห้านี่เป็นเรา เลยอยากให้ขันธ์ห้าพ้นทุกข์ ไม่อยากให้ขันธ์ห้าต้องมาเกิดอีก โดนหลอกเต็ม ๆ เลยเจ้าค่ะงานนี้
หลวงตา : พิจารณาดูให้ดี ๆ มันยังมี “อวิชชา” คือ มีตัวตนของเราอยู่ในความรู้สึก
เหมือนกับ มันยังหลงว่ามีผีเป็นตัวตนอยู่ในความรู้สึก
ความทุกข์ หรือ ความกลัวผีจึงยังไม่หายไปจริง เพียงแค่สงบไว้ได้ชั่วคราว
ต้องมี สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร พิจารณาให้เห็นสัจธรรม ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของขันธ์ห้าอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จนใจรู้เห็นและยอมรับในสัจธรรมตามความเป็นจริงของขันธ์ห้า หรือ รู้เท่าทัน “สังขาร” จนไม่หลงสังขารอีกเลย
เมื่อไม่หลงสังขาร ก็จะไม่หลงเอาสังขาร มาคิดปรุงแต่งยึดถือสังขาร หรือ ขันธ์ห้าเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา ให้เป็นทุกข์ หรือ
เมื่อไม่หลงสังขาร คือ หลงคิดปรุงแต่งว่ามีผีเป็นตัวตนในความรู้สึก ความกลัวผีให้เป็นทุกข์ก็หมดไป หรือ พ้นทุกข์
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2561