ผู้ถาม : หลงกลอีกแล้วเจ้าค่ะ มันรู้ไปด้วย ยึดผลของการรู้ (คือความเบาและว่าง) ไปด้วย ถึงแม้จะรู้ว่าเบาและว่างนะเจ้าคะ รู้ว่า "รู้" อยู่ แต่ไม่รู้ว่า "ยึดไปพร้อม ๆ กับที่รู้" มารู้อีกที คือคิดแล้วไม่รู้ ในฝันตื่นมาสภาวะ "รู้" ที่ยึดหายไป จึงเกิดความทุกข์ลึก ๆ ในจิตเจ้าค่ะ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมก็รู้อยู่แต่ก็ทุกข์อยู่ลึก ๆ แต่ยอมทุกข์เอง โดยที่ไม่ไปหนีความทุกข์ สักพักหนึ่งจึงเห็นความจริงในสิ่งที่มันยึดอยู่ และปัญญาเริ่มเห็นแล้วว่า "สิ่งที่ถูกรู้เป็นทุกข์ เพราะตกอยู่ในไตรลักษณ์" และ "ผู้รู้ ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน เพราะถึงจะรู้ละเอียดแค่ไหน หรือแม้แต่รู้โดยไม่คิดแล้วก็เถอะ มันก็ยังรู้ไปด้วยยึดไปด้วยอยู่ดี" คือ มันเป็นธรรมชาติของผู้รู้ใช่ไหมเจ้าคะ มันต้องรู้ไปด้วย ยึดไปด้วยอยู่แล้ว ไปตามมันก็คือทุกข์แน่นอน ไม่มีทางทำให้มันไม่ทุกข์ได้หรอก มันต้องทุกข์แน่นอน แล้วก็หนีมันไม่ได้ด้วยเจ้าค่ะ ได้แต่ยอมรับมันตามความเป็นจริง ก็ความจริงมันเป็นแบบนั้น
หลวงตา : ผู้รู้ที่ยึดได้ เป็นทุกข์ เป็นสุข มีความอยากอย่างใด ๆ ได้ แสดงว่า หลงยึดถือเอาขันธ์ห้าเป็นตัวเรา แล้วเอาตัวเราซึ่งเป็นขันธ์ห้า ไปคิดปรุงแต่งทำเป็นรู้
สรุปแล้ว หลงเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทานขันธ์ห้า
***** ถ้าเป็นธรรมชาติของธาตุรู้ หรือ จิตเดิมแท้ ๆ หรือ ใจเดิมแท้ ๆ จะได้แต่เพียงสักแต่ว่ารู้ขันธ์ห้าอย่างตรงไปตรงมาตามความเป็นจริงเท่านั้น
ไม่อาจจะคิดหรือปรุงแต่งยึดถือได้
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2561