ผู้ถาม : เล็กกราบขอถามปัญหาธรรมดังนี้เจ้าค่ะ เล็กมีความสงสัยในธรรมที่หลวงตาเทศน์เรื่อง “ถอดรูปปรมาณูวิญญาณ” ซึ่งหลวงตาเทศน์ว่าความคิดเป็นรูปภาพ เช่นคิดถึงพ่อแม่ ก็เกิดเป็นภาพพ่อแม่ พอคิดถึงภรรยาสามี ก็เกิดเป็นภาพภรรยาสามีมาแทนที่ ซึ่งเล็กเข้าใจมาตลอดว่า ความคิด ซึ่งเป็นเพียงมายานั้น มี 2 แบบ คือเสียงและภาพ
- ความคิดที่เป็นเสียง เหมือนกับการพากษ์ หรือพูดอยู่ในใจตลอดเวลา
- ความคิดที่เป็นภาพ เหมือนกับที่หลวงตาเทศน์ คือ คิดถึงพ่อแม่ ก็เกิดเป็นภาพพ่อแม่ขึ้นมา
และพบว่าถ้าเรารู้ทันความคิด เราจะไม่ลืมรูป (กาย) ปัจจุบันของเรา ต่อเมื่อเราหลงไปกับความคิดจะทำให้ลืมรูปกายของเราไป เล็กเพียรฝึกปฏิบัติจนสามารถรู้ทันความคิด และเห็นรูปกายปัจจุบันของตัวเอง (คือ รู้ความคิดและเห็นรูปกายไปพร้อมกัน) และพบว่าเราสามารถรู้ทันความคิดที่เป็นเสียงได้ง่ายกว่าความคิดที่เป็นรูปภาพ เพราะมันจะดึงกันอยู่ระหว่างรูปภาพที่เป็นมายา (ภาพความคิด) และภาพที่เป็นจริง (ภาพรูปกายปัจจุบัน)
เดิมเล็กเข้าใจมาตลอดว่า “ความคิดทั้งที่เป็นเสียงและภาพ ล้วนเป็นมายาทั้งสิ้น มีเพียงรูปกายปัจจุบันของเราที่เป็นของจริง” ต่อเมื่อเล็กฝึกเพียรรู้เท่าทันความคิดที่เป็นรูปภาพ พร้อมกับเห็นรูปกายปัจจุบันของตัวเอง จนสามารถรู้เท่าทันได้ระดับหนึ่ง เล็กจึงเข้าใจว่า แท้จริงแล้ว “รูปกายปัจจุบันที่เราคิดว่าเป็นของจริงนั้น ก็เป็นมายาเช่นกัน”
เหตุเพราะเราไปหลงอยู่กับรูป หลงยึดว่าเป็นกายของเรา ของของเรา จึงทำให้ไม่เห็นความจริงว่า “ทุกสิ่งเป็นเพียงมายา” ด้วยการปฏิบัติของเล็กเป็นเพียงเบื้องต้นยังไม่เข้าถึงปัญญา จึงไม่ทราบว่าเล็กปฏิบัติและเข้าใจถูกต้องหรือไม่เจ้าคะ หากมีความเข้าใจหลงผิดประการใด กราบหลวงตาโปรดเมตตาชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : ปัญญา คือ สักแต่ว่ารู้ทุกปัจจุบันขณะ ไม่มีผู้ยึดอารมณ์ที่ถูกรู้และผู้รู้ ถ้าหลงยึดถือก็รู้เท่าทันไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ จนกว่าสักแต่ว่ารู้ ไม่มีผู้ยึดถือ ก็รู้ว่าไม่มีผู้ยึดถือ
ผู้ถาม : อ่อ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ... กราบขอบพระคุณหลวงตาอย่างสูงเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2561