ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ กราบขอโอกาสพิจารณา file เสียง "ความจริงของธรรมชาติ" เจ้าค่ะ
หลวงตา : เสียงอ่านผ่านแล้ว แต่หมอมีอวิชชาซ่อนเร้นอยู่ เอาความตั้งใจเหมือนการเขียนหนังสือในใจ ไปเป็นตัวเราจริง ๆ ยึดเอาความตั้งใจพุ่งออกไป เป็นลักษณะที่มีจุดหรือต่อมที่ออกจากตัวเราออกไปเป็นเรื่องราวหรือความตั้งใจจะทำอะไรต่าง ๆ เอาตัวเราเป็นศูนย์กลาง ไม่ได้ว่างเปล่าจากตัวตน ตัวเรา ของเรา เหมือนเวลาจะทำอะไร ก็จะมีตัวสมมุติในจิตก่อน ว่าอะไรเป็นอะไร หรือเป็นนั่นเป็นนี่ แล้วหลงยึดถือสมมตินั้น เป็นตัวเรา เอาจิตเป็นตัวเรา เป็นของเรา เป็นจิตของเรา เหมือนเพ่งหรือพุ่งกระแสจิตออกไป เหมือนออกไปจากตัวเรา เลยมีเราอยู่ตลอด ให้เห็นพฤติแห่งจิตเช่นนี้ว่าเป็น “สังขารปรุงแต่ง” ที่เป็นสังขารวิบาก และวิญญาณที่มารับรู้สังขารนั้นก็เป็นวิญญาณวิบากในขันธ์ห้า หากไม่ยึดถือทั้งหมดว่าเป็นเราก็ไม่มีกรรม เพราะไม่มีเราเป็นประธาน ไม่มีเรามารองรับผลกรรมในชาตินี้ และไม่มีในชาติต่อ ๆ ไป หากมีผู้ไปยึดถือก็จะมีตัวเราไปรับผลกรรมในปัจจุบัน ในอนาคตและในชาติต่อ ๆ ไปตามกฎปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจัยตา หรือปัจจยาการ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี หรือ .... เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เมื่ออวิชชามี สังขารกรรมและวิญญาณกรรมคือตัวเราที่ต้องรับผลกรรมย่อมต้องมีอยู่
ถ้าอวิชชาไม่มี สังขารกรรมและวิญญาณกรรมก็ไม่มี หรือ ถ้าอวิชชาดับ สังขารกรรมและวิญญาณกรรมก็ดับ..... มีตัวเราเป็นศูนย์กลาง เช่น ถ้าหลวงตาตอบแบบนี้ แล้วหนูจะทำอย่างไร หนูจึงจะสิ้นอวิชชา ให้เห็นว่า “หนู” จะทำอย่างไรจึงจะสิ้นอวิชชา หนูนี่แหละเป็นอวิชชาแล้ว และหนูจะพยายามไปทำอะไร ก็เพื่อตัวหนูจะสิ้นกรรม มันก็เป็นอวิชชาอีกนั่นแหละ มันจะซ้อน ๆๆๆๆ ตลบหลังอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ต้องมีสติปัญญา รู้เท่าทันมันในทุกขณะปัจจุบันธรรมะไม่ได้ยุ่งยากหรอก แต่มันแสบตรงนี้แหละ พอจะกระทำอะไร ก็เอาเราเป็นผู้กระทำ และ กระทำเพื่อตัวเรา เสร็จแล้วก็มีเรามารับผลนั้นอีก
เลยมีแต่ตัวเรา ...ตัวเรา ...เราๆๆๆๆๆ......
ผู้ถาม : จริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ พอหลวงตาตอบแบบนี้ ในใจมันก็คิดเลยว่า ต้องทำยังไง แบบไหนดี ต่อไปต้องตั้งใจดูตรงนั้นตรงนี้ จะได้สิ้นอวิชชา แล้วพอตั้งใจจะไปดูก็กลายร่างเป็นอวิชชาทันทีเลย เข้าเป้าที่อวิชชาที่มันหลอกเราเลย สรุปว่าตั้งใจทำก็ไม่ได้ ไม่ตั้งใจดูก็หลง คงต้องช่างหัวมันแล้วใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา ไม่ว่ามันจะเผลอไปตั้งใจ หรือหลง มันก็เป็นแค่จิตทำงาน เป็นแค่ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่เปลี่ยนหน้าไป ๆ มา ๆ แค่สักแต่ว่ารู้ เห็นว่าตอนนี้หน้าไหนขึ้นมา เอ ...จริง ๆ มันไม่มีตัวเราตั้งแต่แรก แล้วจิตมันจะคิดยังไง นักแสดงจะเปลี่ยนหน้าไหนออกมา เราก็แค่คนดู แค่รู้แก่ใจว่าเป็นคนดู พอไหมเจ้าคะหลวงตา
หลวงตา : ไอ้เหลือแค่อย่างเดียวแล้วค่ะ มันคืออะไรล่ะ ที่เหลืออย่างเดียวก็อวิชชาไม่ใช่เหรอ โยนทิ้งให้หมด ไม่เหลืออะไรเลย ไม่เป็นอะไรเลย
อยู่กับความไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่เป็นอะไรเลย สาธุๆๆๆ
ผู้ถาม : ไม่มีอะไรเหลือ ก็ไม่มีอะไรต้องทำ ทุกอย่างมันจบในตัวมันเองเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : ไม่มีตัวตนของเราจริง ๆ มาตั้งแต่แรกแล้ว ร่างกาย จิตใจ รวมทั้งผู้รู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ ขันธ์ ก็มามีขึ้นในภายหลัง คือ เพราะอวิชชามี สังขารกรรมจึงมี เพราะสังขารกรรมมี วิญญาณจึงมี เพราะวิญญาณกรรมมี นามรูป (ขันธ์ห้า) จึงมี ดังนั้นขันธ์ห้า หรือ ร่างกาย จิตใจ รวมทั้งผู้รู้ (วิญญาณขันธ์หรือวิญญาณวิบาก) จึงมาเกิดขึ้นในภายหลังในโลกนี้ เพราะเหตุอวิชชาเป็นต้นเหตุ คือ หลงยึดถือขันธ์ห้า ร่างกาย จิตใจ และผู้รู้ว่า เป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา
ต้องสิ้น “อวิชชา” จึงจะสิ้นตัวตน หรือ สิ้นความหลงว่ามีตัวตนอยู่ในความรู้สึก จึงสิ้นอวิชชา แล้ว วงจรปฏิจจสมุปบาท หรืออิทัปปัจจยา จึงจะดับสนิท ไม่มีส่วนเหลือ .... ไม่มีส่วนเหลือ .. ๆๆๆๆๆๆ ...... เข้าใจมั้ย!!!
ผู้ถาม : เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ร่างกาย ความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของของเรา ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ทั้งตัวเรา ลูก สามี พ่อ แม่ ทรัพย์สมบัติ เป็นแค่สมมุติ ทุกสิ่งมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีจริง ๆ เจ้าค่ะ เหมือนโดนอะไรทุบหัวเลยเจ้าค่ะ มันชะงัก อึ้งไปหมด มีแต่เสียงในหัวว่าไม่มีอะไรเป็นของจริง ๆๆๆ จิตที่มันคิด นึก ตรึกตรอง ปรุงแต่งมันเป็นแค่กลมายาของจิตแค่นั้น ทุกสิ่งรอบตัวมีแต่ของปลอม หลอกลวง ให้เราหลง ให้เราวนเวียน เวียนตาย เวียนเกิดมาเสพมันยาวนานมากแล้วเจ้าค่ะ ความจริงมีแต่มายาจอมปลอมของจิต กับธรรมชาติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แค่นั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ นี่แหละ ที่สุดแห่งการหลอกลวงโลก หลอกลวงจิตใจให้ลุ่มหลง
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2561
---------------------------