ผู้ถาม : ขอโอกาสเจ้าค่ะ … ศิษย์กำลังอ่านข้อความนี้อยู่พอดีเจ้าค่ะ... กำลังพิจารณาอยู่ "เงียบ ๆ ในใจ" หลังจากทบทวนสิ่งที่องค์หลวงตาพยายามชี้ย้ำให้เห็นหลาย ๆ วันติดกัน ...
สิ่งที่ "สัมผัส" ใจ ... ปรากฏขึ้นในใจเป็นเพียงความรู้ที่รู้ออกมาจากใจ ไม่มีจุดต้นจุดปลาย เป็นแต่เพียงปรากฏการณ์ฟ้าแลบขึ้นมาแล้วหายไป ไม่มีอะไรยึดถือไว้ได้ เพียงแค่เป็น "เครื่องอาศัย" เท่านั้นเจ้าค่ะ อาศัยสติ สมาธิ ปัญญาเป็นเรือข้ามฟาก ... ปล่อยให้สังขารทุกอย่างไหวตัว ทำงาน เกิดดับไปตามปกติของเค้า ... แต่ไม่มีตัวเราอยู่ในนั้น ... เมื่อมีความสงบใจก็สัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้ได้ถึงใจมากขึ้นเจ้าค่ะ ...
ศิษย์เพิ่งเริ่มเข้าใจถึงใจมากขึ้นกับคำว่า "กลมายาของจิต" ที่มันคือ "ที่สุดของความลวงโลก" ที่องค์หลวงตาเมตตาชี้แนะ ... จะหาคำพูดใดมาอธิบายมันก็สักแต่ว่าสังขาร ... เข้าใจแล้วค่ะที่องค์หลวงตาบอกว่า ... การจะเอานามธรรมมาอธิบายเป็นรูปธรรมมันยากเย็นเพียงใด เพราะมันต้องใช้สังขารปรุงแต่งไปตามสมมุติให้เข้าใจกัน ... แต่ใช้แค่เป็น "ขณะ ๆ" ไป ... เพราะ "ความสัมผัสใจ" มันไม่มีภาษาค่ะ … มันไม่รู้จะคิดหรือจะพูดอะไรต่อ เพราะมันเป็น "ความรู้แก่ใจ" ในปัจจุบันขณะ ๆ ไปเท่านั้นเอง และไม่อาจยึดถืออะไรได้ ... ต่อให้ธรรมละเอียดปานใด ถึงใจจนน้ำตาร่วงเพราะมันสะเทือนไปถึงอวิชชา ... ที่สุดแล้วมันก็ผ่านไป ... ใจเก็บอะไรไว้ไม่ได้ ทุกสิ่งปรากฏขึ้นเพื่อให้เรียนรู้ ทำได้ ใช้เป็น แล้วมันก็ผ่านไป ... ไม่มีสิ่งใดที่ควรยึดมั่นถือมั่น ... เท่านั้นจริง ๆ เจ้าค่ะ กราบส่งการบ้านแค่นี้เจ้าค่ะ ... กราบเท้านมัสการมาด้วยความเคารพสูงสุด
หลวงตา : ไม่มีตัวจิต ไม่มีตัวใจจึงไม่มีห้องเก็บอะไรไว้ได้ มีแต่ความหลงสังขาร หลงคิดปรุงแต่งเป็นขณะจิต ซึ่งเป็นที่สุดแห่งกลมายาหลอกลวงโลก หลอกลวงตนเองให้ลุ่มหลงเป็นทุกข์เดือดร้อน
ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา สิ้นความรู้สึกว่า “มีตัวเรา” เท่านั้น จบ ค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2561