ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ ขอโอกาสหลวงตาเมตตาแนะนำการปฏิบัติของโยมในตอนนี้ค่ะ
หลวงตา : กรณีของโยม....ยังมีความหลงที่เป็น “อวิชชา” อยู่ โดยไม่รู้ตัว คือ
- หลงไปอยู่กับความรู้สึกนิ่งสงบ โดยหลงเข้าใจผิดว่าเป็น ใจหรือธรรมธาตุ เป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติที่สิ้นอวิชชา ไม่มีตัวตนและไม่สังขาร แท้ที่จริงความรู้สึกนิ่งสงบนั้นเป็นเวทนาขันธ์ ต้องสังเกตให้ละเอียดรอบคอบอย่างที่สุด จึงจะเห็นได้ว่า ในท่ามกลางความรู้สึกที่นิ่งสงบนั้น มีจิตตสังขารที่คิดนึกตรึกตรองปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ให้เห็นหรือรู้เท่าทัน และปล่อยวางหรือไม่หลงยึดถือจิตตสังขารในทุกปัจจุบันขณะ ส่วนใจหรือธรรมธาตุ หรือ ธาตุรู้ตามธรรมชาติที่สิ้นอวิชชาจริง ๆ จะไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่มีความรู้สึกหรืออารมณ์ใด ไม่ปรากฏอะไรเลย ที่ปรากฏพฤติแห่งจิต หรือ ปรากฏอาการต่าง ๆได้ เป็นเพียงสังขารหรือสิ่งปรุงแต่ง
- หลงยึดถือใจที่นิ่งสงบ (แท้จริงเป็นเวทนา) ว่าใจเราหรือใจของเรานิ่งสงบ คือ ยังหลงยึดถือไว้ในความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือของเรา
มีความสงบใจอย่างเงียบเชียบจริง ๆ แล้วจะสังเกตเห็นจิตที่แสดงกริยาหรือปรากฏอาการต่าง ๆ ขึ้นมาทุกปัจจุบันขณะ
ให้ปล่อยวางทั้ง จิตที่ถูกรู้เห็น และปล่อยวางจิตผู้รู้ทุกปัจจุบันขณะ หรือ ไม่มีผู้ยึดถือ ทั้งจิตที่ถูกรู้ และจิตผู้รู้ทั้งหมด
จะต้องไม่แอบยึดถืออะไรเลย ไม่เอาอะไรเลย ไม่หวัง หรือ ปรารถนา หรืออยากได้ อยากเอาอะไรเลยแม้ความสงบ ความว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ที่สุดแม้นิพพาน
เมื่อปล่อยวางหมด หรือ ไม่มีผู้ยึดถืออะไรเลย จึงจะพบ “ใจ”
หรือ “ธรรมธาตุ” ที่เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ไม่มีตัวตน ไม่มีแม้แต่ตัวจิตหรือตัวใจ นี่แหละคือที่สุดแห่งทุกข์ หรือ ที่ความทุกข์เข้าไม่ถึง จึงพ้นทุกข์ (นิพพาน)
มีคนหลงอย่างนี้กันมาก ๆๆๆ...
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2561