ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา เมื่อเช้าตอนขับรถมามันเห็นความอยากโผล่มาเป็นระยะ มันเนียนมาก เหมือนที่หลวงตาบอกว่า ถ้าไม่สังเกตมันก็โดนมันหลอก พอจะเข้าไปกระทำอะไรกับมัน ก็ยิ่งจุกแน่นหน้าอก เลยเห็นโทษภัยของการมีตัวตนเข้าไปวุ่นวาย เห็นมันปรุงแต่งมาตลอดทาง มันก็มีความพยายามจะช่วยตัวเราซ้อนขึ้นมาอีก พยายามอยากให้มันสิ้นตัวเราที่จะไปเอาอะไร ไปเป็นอะไร แล้วมันก็สะเทือนใจขึ้นมาว่า ตัวเรามีที่ไหน ไปทำเพื่อให้ได้อะไร มันก็เลยยอม แต่ตลอดทางที่ขับรถมา มันปรุงไม่หยุดเลยค่ะ เลยเข้าใจว่า ไม่ว่ามันจะมีอะไรก็ต้องปล่อยวาง ทิ้งมันไปขณะจิตนั้น ความจริงก็คือความจริง ไม่สามารถสร้างของไม่จริงมาเป็นของจริงได้ มันก็รู้ได้ของมันอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องไปคอยทำอะไร ไปตั้งสติ เพราะสิ่งเหล่านี้เขาเป็นธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว ไปสร้างไปปรุงแต่งมันจะเป็นของจริงอย่างไร พอมันสงบ ว่าง ธรรมบอกว่าให้เพิกถอนทุกอย่าง เราไม่มี จนถึงบ้านเปิดฟังไฟล์ เพียรไปจนกว่าจะถึงใจ (พบธรรม) อาการมันเหมือน ๆ กันเลยค่ะ ตอนนี้ก็น้อมเห็นความไม่เที่ยง ความไม่มีตัวตนของ "ตัวเรา" และทุก ๆ สภาวะทั้งสังขารและวิสังขารค่ะ มันจะปรุงจะผลุบจะโผล่มากี่ครั้ง ๆ ก็ช่างมัน
หลวงตา : มันยังเป็น “อวิชชา” อยู่ มันไม่ได้ปล่อยวางขันธ์ห้า ที่ประกอบไปด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุรู้ ซึ่งเป็นธาตุตามธรรมชาติ ให้แก่ธรรมชาติของเขาไปเสียทั้งหมด ยังมีความแอบแฝงหลงยึดถืออยู่ในใจ อย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ คือ ร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นขันธ์ห้านี้ เป็นเรา ตัวเรา ของของเรา หรือ มีตัวเราอยู่ในขันธ์ เพราะหลงยึดถือจิตใจว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของของเรา หรือ หลงยึดถือใจ ซึ่งเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เป็นของเรา ดังนั้น แม้ผู้ปฏิบัติธรรมจะพยายามปล่อยวาง หรือไม่ยึดถือร่างกายจิตใจหรือขันธ์ห้า แต่ก็ยังหลงว่าเมื่อสามารถปล่อยวางได้หมดแล้ว “ตัวเราจะสงบ มีแต่ความสุข ว่างเปล่า ไร้ตัวตน ตัวเราจะบรรลุพระนิพพาน ตัวเราจะกลายเป็นความว่างหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ตัวเราจะไม่กลับมาเกิดอีกต่อไป” ซึ่งมันมีแต่เรา ตัวเรา..ๆๆๆๆ อยู่ในความคิด ในความรู้สึก มันจึงมีแต่ความพยายามเพื่อช่วยตัวเราให้ได้ ให้ถึง ให้เป็น ให้บรรลุ ให้สำเร็จ....มันจึงไม่สิ้น “อวิชชา”
ซึ่งความจริงตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรแม้แต่สักน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง หรือปรมาณูหนึ่ง ที่เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเราอยู่เลย
ตัวเราทั้งตัวทั้งร่างกาย และจิตใจ หรือขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของยืมธรรมชาติเขามาใช้ทั้งหมด เพื่อทำความเข้าใจจนเกิดปัญญารู้แจ้งโพล่งขึ้นมาแก่ใจว่า ความจริงแล้ว เรา ตัวเรา หรือ ของของเราไม่มีอยู่เลยเป็นเพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ และธาตุรู้ มารวมตัวกันด้วยความไม่รู้ หรือหลงเข้าใจผิด หรือ ความโง่ (อวิชชา) มานาน จึงก่อเกิดเป็นร่างในภพภูมิต่าง ๆ ตามกรรม ส่วนใหญ่ก็เกิดเป็น สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ซึ่งเป็นทุคติภพ ทั้งนี้เพราะสรรพสัตว์ทั้งหลายจะคิด พูด กระทำไปตามใจกิเลส เช่น หมกมุ่นในกามตัณหา เป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือ กระทำกรรมชั่วที่เป็นความโลภ อาฆาตแค้นพยาบาท ก็เป็นเหตุให้ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกาย หรือกระทำบาปกรรมชั่ว ก็เป็นเหตุไปตกนรก เป็นต้น
น้อยคนนักที่จะเอาชนะใจตนเองได้ สามารถที่จะละบาปไม่ผิดศีลห้า คิดดี พูดดี ทำดี ที่เป็นบุญเป็นกุศลเป็นบารมี
จนในที่สุดสิ้นอวิชชา คือ สิ้นหลงผิดว่ามีเรา ตัวเรา หรือของของเรา สลัดคืนทุกอย่าง คืนแก่ธรรมชาติของเขาไปเสียทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีความรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือ ของของเราเหลืออยู่แม้แต่เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง หรือสักปรมาณูหนึ่ง ก็จะสิ้นหลงผิดมีความพยายามที่จะกระทำอย่างใดๆ เพื่อผลประโยชน์ที่จะตกได้แก่ตัวเราอีกต่อไป เพราะไม่มีเรา ตัวเรา หรือของของเรา
ไม่มีแม้แต่จิตหรือใจของเรา ไม่มีแม้แต่น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง สักปรมาณูหนึ่ง ไม่มีตัวเรากลายไปเป็นความไม่มี ไม่มีตัวเราเป็นความไม่มี ความไม่มี ไม่มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ไม่มีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเราอยู่ในความไม่มี
มันไม่มี ..ไม่มี..ไม่มี....ไม่มีอะไรเลย... จริงๆๆ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561