ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตา กายสังขาร จิตตสังขาร ไม่ใช่เรา ผู้รู้ก็ไม่ใช่เรา ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา เราเกิดมาเพื่อมารู้ความจริงอันนี้ ว่าทั้งโลกใบนี้ มีแต่ธรรมชาติ ๆๆๆ เลยไม่มีใครต้องดิ้นรน ค้นหาทางไปนิพพาน เพราะไม่มีใครต้องไป ไม่มีใครต้องเกิด ไม่มีใครต้องตาย มีแต่ธาตุตามธรรมชาติที่เกิดขึ้น คงอยู่แล้วก็ดับคืนสู่ธรรมชาติไป แค่นี้เองเหรอเจ้าคะหลวงตา
หลวงตา : เช่นนั้นเอง สิ้นความหลงรู้สึกว่ามีเรา ตัวเรา หรือ มีตัวตนของเรา ความเป็นของเราก็ไม่มี ผู้ทุกข์ก็ไม่มี
ผู้ถาม : ไม่น่าเชื่อเลยเจ้าค่ะว่ามีแค่นี้เอง ก็มันไม่มีอยู่แล้วตั้งแต่แรก ไอ้ที่มันหลงว่ามี มันก็เลยเป็นสังขาร ปรุงแต่งทับกันไป ๆ มา ๆ จนหาต้นไม่ได้หาปลายไม่เจอจริง ๆ เจ้าค่ะ เหมือนใจมันกลวง ๆ อย่างไรชอบกลเลยค่ะหลวงตา พอรู้ความจริงแบบนี้ ก็สะบัดขันธ์ห้าทิ้งไป แบบไม่มีค่าอะไรเลย เหมือนที่หลวงตาเคยเล่าเรื่องผู้หญิง ผู้ชายนัดเจอกันหลังจากที่ติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ตเลย หนูเห็นภาพเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : มันเป็นอย่างไร ธรรมชาติเขา ก็แค่รู้ แค่เห็น เพราะมันเป็นธรรมชาติที่ธาตุขันธ์ยังไม่แตกดับ คือ ยังไม่ตาย ตายแล้ว ถ้าไม่หลงมีตัวตน หรือไม่หลงยึดถือสังขาร มาเป็นกองขยะสังขารทับถมความไม่มีอะไรไว้ เมื่อสังขารดับ กองขยะหายไป ทิ้งไว้แต่ความว่างเปล่า
ผู้ถาม : ธรรมะทั้งมวลรวมลงที่ใจ ที่เห็น รับรู้ความจริง และสิ้นยึด กองขยะก็เป็นแค่กองขยะ ไม่มีใครให้ค่ามัน มันก็อยู่อย่างนั้น สุดท้ายมันก็สลายไปเองเจ้าค่ะ ขันธ์ห้าจะสังขารอะไรก็เรื่องของมันไปตามเหตุ ตามปัจจัย เมื่อมันไร้ค่ามันก็เกิดดับอย่างเก้อ ๆ กราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ ที่เพียรให้จิตที่หลงไปหลงมาดวงนี้เข้าใจความจริง ตื่นจากความหลงซะที
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561