ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ วิสังขารดับได้จริงหรือเจ้าคะ หนูนึกว่าเวลาพระอรหันต์ละสังขาร วิญญาณขันธ์เเละขันธ์อื่นๆ ดับเท่านั้น รบกวนหลวงตาเมตตาสอนด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : “วิสังขาร” เป็นธาตุรู้ที่สิ้นอวิชชา จะเป็นธรรมชาติที่เหมือนกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล ไม่ปรากฏอะไรเลย แต่แตกต่างจากความว่างของธรรมชาติ คือ ความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาลไม่ “รู้”
ธาตุรู้ หรือ ธรรมธาตุ หรือ วิญญาณ ใจ หรือ จิตเดิมแท้ ที่สิ้นอวิชชาแล้ว จะเป็นเหมือนความว่างเปล่าของธรรมชาติ แต่มี “รู้” อยู่ในธาตุรู้ ที่ไม่ปรากฏอะไรเลย ครั้นเมื่อขันธ์ห้าแตกดับ (ตาย) ใจหรือจิต หรือวิญญาณเดิมแท้ หรือ ธาตุรู้ตามธรรมชาติ ที่สิ้นอวิชชาแล้ว จึงดับไปเหมือนเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ คือ ดับเฉพาะรูปวิญญาณที่จะต้องไปเกิดรับกรรมตามภพต่าง ๆ แล้วกลืนหายไปกับรวมกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล จึงมีธาตุรู้ หรือ ที่เรียกว่า “พุทธะ” ที่ไม่ปรากฏอะไรรวมกับความว่างของธรรมชาติ ซึ่งความว่างและธาตุรู้จะแทรกซึมอยู่ในธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ที่มีอยู่ในทุกที่
สรุปแล้ว เมื่อสิ้นอวิชชาแล้ว จะดับไปเฉพาะรูปวิญญาณที่จะต้องไปเกิดรับกรรมในภพต่าง ๆ ส่วนธาตุรู้ตามธรรม ไม่ดับ เพียงแต่ไม่มีรูป หรือ ไม่มีอะไรปรากฏ กลืนหายรวมไปกับความว่างของธรรมชาติหรือจักรวาล ดังนั้น พวกยมทูต หรือ พวกเชิญวิญญาณ จึงไม่สามารถพาจิตหริอวิญญาณที่สิ้นอวิชชาไปรับผลกรรมชั่ว หรือกรรมดีในภพต่าง ๆ ได้อีกต่อไป
ผู้ถาม : สรุปว่าดับเฉพาะส่วนที่รู้อยู่กับตัว เเต่ รู้ส่วนที่เป็นวิสังขารที่กว้างใหญ่เเละเเทรกซึม จะไม่ดับ เพียงกลืนเข้ากับธรรมชาติ ใช่ไหมเจ้าคะ
หลวงตา : รู้อยู่กับตัว เป็นสติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเป็น “สังขาร” ในขันธ์ห้า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ เป็นผู้รู้ตัวปลอม
ให้เห็นว่าเขาเป็นสังขารหรือผู้รู้ตัวปลอม ก็จะสิ้นหลงยึดถือเขา คือ หลง เอาผู้รู้ตัวปลอม มาเป็นเรา ตัวเรา หรือ จิตของเรา จึงจะพบผู้รู้ตัวจริง ที่เป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ แต่ถ้ามีผู้ยึดผู้รู้ตัวจริง ก็ยังไม่สิ้น “อวิชชา” ยังมีตัวตนไปรับกรรมในภพต่าง ๆ ต่อไปอีก
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2561