ผู้ถาม : ขอกราบนมัสการด้วยความนอบน้อมและศรัทธาเจ้าค่ะหลวงตา นั่งอ่านอย่างมีสติ มีความเข้าใจถึงใจ ขอโอกาสสรุปตามความเข้าใจถึงใจเจ้าค่ะหลวงตา ว่าหลวงตาใช้ทุกวิถี ทุกคำที่จะนำมาสอนในเรื่องเดียวกัน เพื่อให้มีความเข้าใจ สังขารกับวิสังขาร สังขารก็เกิดจากการทำงานของขันธ์ห้า คือความคิดความปรุงแต่ง ปรุงดีปรุงชั่ว พอใจไม่พอใจ รัก ชอบ ชัง เฉย ๆ โลภ โกรธ หลง ก็ทุก ๆ ความคิดนั้นมันเป็นสังขาร ที่เกิดจากผัสสะทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ธรรมารมณ์ ความรู้สึกสัมผัสทางกาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นสังขาร เข้าไปยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ มันไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครเข้าไปดับมันได้จริง (ถ้ามีใครไปทำดับ ทำหยุด ทำเฉย ทำเห็น หรือว่าทำเป็นไม่เห็น ก็ถือว่ายังมีผู้ยึดถือ) ก็มาตรงกับตอนนี้หลวงตาใช้คำว่า สิ้นยึดถือ สิ้นยึด ก็มีความเข้าใจในทางเดียวกันว่า ก็ไม่มีตัวตน บุคคลเราเขา ไม่มีใครเลยจริง ๆ ร่างกายขันธ์ห้านี้มาจากธาตุดิน ธาตุน้ำ อากาศธาตุ ที่มาจากอวิชชาคือความหลง ความโง่ไปสร้างความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เป็น ที่เห็น ที่รับรู้ จึงก่อภพชาติมาเรื่อย ๆ เปลี่ยนไปตามวิบากกรรมดีกรรมชั่ว ส่งมาเป็นร่างกายเป็นขันธ์ห้านี้
เมื่อเข้าใจถึงใจ จึงไม่มีใครมายึดในอาการต่าง ๆ ที่เป็น ที่อยู่ ที่เห็น หรือแม้จะเป็นสังขารคือความคิดปรุงแต่ง ก็ไม่มีใครไปเป็น ไปเสวย ไปเป็น ผู้ นั้นๆ อีกเลย จบที่ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีบุคคลเราเขา ทุกสรรพสิ่งล้วน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป เท่านั้น เท่านั้นเอง จึงสิ้นยึด หรือไม่ยึด เพราะว่ามันไม่มีใคร เป็นแค่อาการที่เกิดขึ้นและดับไป จึงไม่มีผู้ไม่ยึดมาซ้อน ไม่เป็นผู้ไม่ยึด เพราะทั้ง ยึด หรือไม่ยึด ก็ไม่มีใครอยู่ในนั้น เป็นเพียงแค่อาการ
สังขาร วิสังขารก็เช่นกัน มันก็สลับสับเวียน ในเกิดดับ แต่ไม่มีใครไปเป็น ทั้งสังขารและวิสังขาร ปล่อยเค้าทำหน้าที่ไปโดยไม่มีเรา เราไม่มี จึงเห็น สักแต่ว่าเห็น รู้สักแต่ว่ารู้ (รู้ซื่อ ๆ) หรือ แค่รู้ แค่รู้เท่านั้นจริง ๆ น้อมกราบนมัสการเจ้าค่ะหลวงตา
หลวงตา : เกิดดับเฉพาะ “สังขาร” ผู้รู้ ผู้รู้สึก ผู้นึก ผู้คิด ผู้ตรึกตรอง ผู้ปรุงแต่ง ผู้เพ่ง ผู้ดิ้นรน ผู้ค้นหา ผู้อยากเอา ผู้อยากได้ ผู้อยากเป็น ผู้อยากรู้ ผู้อยากเห็น ผู้อยากพ้นทุกข์ ผู้ .... ล้วนเป็น “สังขาร” หรือสิ่งปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปล่อยวางความหลงยึดถือผู้ … หรืออาการทั้งหมดเหล่านั้นเสีย ไม่หลงยึดถือว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือของเรา
ไม่หลงเป็นสังขาร พยายามช่วยตัวเราให้เป็นอะไร หรือ ไม่หลงพยายามช่วยตัวเราให้พ้นทุกข์ เพราะความรู้สึกว่าเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา มันหลงสังขาร (อวิชชา) ให้เกิดปัญญาญาณ คือ รู้แจ้งด้วยใจว่า สิ่งทั้งหมดที่กล่าวนั้น รวมทั้งความคิดหรือความรู้สึกว่าเป็นเรา ตัวเราหรือของเรา ล้วนเป็นสังขาร ไม่หลงไปพยายามดับเขา มันจะหลงเอาสังขารไปพยายามดับสังขาร จะเป็น “อวิชชา” ไม่สิ้น
ส่วน “วิสังขาร” พ้นจากไตรลักษณ์ ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวจิตใจ ไม่ปรุงแต่ง
***** เป็นธรรมชาติที่ได้แต่แค่รู้ ได้แต่แค่เห็น
***** ไม่เป็นอะไรทั้งนั้น
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561