ผู้ถาม : ขอโอกาสครับองค์หลวงตา ผมขออนุญาตเรียนถามครับ วิญญาณ ที่อยู่ใน วงจรปฏิจจสมุปบาท ที่องค์หลวงปู่มั่น เรียกว่า วิญญาณกรรม มันเป็นวิญญาณธาตุ หรือ วิญญาณขันธ์ ครับ (ลำดับที่ 3)
แล้วในนามรูป ที่องค์หลวงปู่มั่น เรียกว่าวิญญาณตัวนี้ เป็นวิญญาณวิบาก ตัวนี้ผมเข้าใจว่า คือ วิญญาณขันธ์ใช่ไหมครับ
เพราะถ้าเป็นเช่นนี้เมื่อสังขาร ปรุงแต่ง วิญญาณ (ธาตุรู้) ก็รู้ทันทีเป็นอัตโนมัติอย่างเป็นธรรมชาติของเค้า แล้วจึงเป็น ปัจจัยให้เกิด นามรูป (ที่ให้ความรู้สึกเป็นตัวเราขึ้นมาในจิตใจ) มี สฬายตนะ ครบ พร้อมรับการผัสสะในรูปแบบต่าง ๆ ทั้ง 6 ประตู ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วประมวลผลที่ประตูใจ (เวทนา สัญญา สังขาร) เกิดเป็น อารมณ์ ความรู้สึก นึกคิด ต่าง ๆ มากมาย เป็นต้น เกิดหลงยึดมั่นต่อรูปนาม ที่ถูกสร้างใหม่ในใจ ทุก ๆ ขณะปัจจุบันว่าเป็นเราตลอดเวลา จนไม่สามารถแยกออกหรือ รู้ได้ว่ารูปนามตัวนี้ มีเกิดมีดับ เป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วรูปนามตัวนี้ ก็ทำตัวเป็น เรา เป็นตัวเรา เป็นของเราทันที ไม่ว่า จะเกิด สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ ล้วนเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งหมด
เมื่อรู้และเข้าใจมากขึ้น ๆ เราจะเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นเพียงธรรมชาติ ไม่ว่า จะสังขารอย่างไร ไม่ว่า จะรู้อย่างไร มันก็เป็นเช่นนี้ เมื่อรู้แจ้ง มันก็ค่อย ๆ คลายความยึดมั่นไปตามลำดับ จนเข้าถึง ต้นจิต ที่มันเริ่มขยับ เราก็ จะรู้ไวขึ้น โอกาสที่จะเป็น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ตัวใหม่ ก็จะน้อยลง ๆๆ ไปเรี่อย ๆ จน สิ้นยึด ก็ จบกิจ
ดังนั้น คำถามที่ผมเรียนถามองค์หลวงตา ว่า วิญญาณที่อยู่ในลำดับที่ 3 ของ วงจรปฏิจจสมุปบาท ที่องค์หลวงปู่มั่นเรียกว่า วิญญาณกรรม เป็น วิญญาณธาตุใช่ไหม จากการไล่เรียงมาทำให้ผมเข้าใจว่า มันคือตัวเดียวกัน
กรานนมัสการครับ ถ้าการกระทำใด ๆ ที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินองค์หลวงตา ด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี ด้วยความประมาทพลั้งเผลอ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ตั้งแต่ อดีต จนถึงปัจจุบัน ผมสำนึกผิดในบาปกรรมเหล่านั้น ขอความเมตตาจากองค์หลวงตายกโทษให้ผมด้วยเทอญ และท้ายนี้ขอให้องค์หลวงตามีธาตุขันธ์แข็งแรง นะครับ
หลวงตา : “วิญญาณ” ที่อยู่ในปฏิจจสมุปบาท เป็น “วิญญาณกรรม” ที่เกิดจากความหลงยึดถือ (อวิชชา) ในปัจจุบันขณะนั้น ๆ แล้ว เกิดสังขารกรรม คือ คิด พูด กระทำไปตามอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นกิเลสในปัจจุบันขณะนั้น ๆ เกิดเป็นวิญญาณกรรม ให้ต้องรับผลกรรมในปัจจุบัน และเป็นปฏิสนธิวิญญาณกรรมในภพชาติต่อไป
“วิญญาณขันธ์” เกิดจาก อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารกรรม
สังขารกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณกรรม
วิญญาณกรรม เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป คือ ขันธ์ห้า ซึ่งประกอบไปด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งสังขาร และวิญญาณในขันธ์ เป็นสังขารวิบาก และ วิญญาณวิบาก เพราะเกิดมาจากกรรมเก่า คือ ขณะตาย ยังไม่สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นกิเลส จึงเกิดสังขารกรรม และวิญญาณกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป หรือ ขันธ์ห้า ดังนั้น สังขารวิบาก และวิญญาณวิบาก ในขันธ์ห้า จึงเกิดมาจากกรรมเก่า
วิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ หรือ ใจหรือจิตเดิมแท้ ถ้าไม่สิ้น “อวิชชา” ก็คือ วิญญาณกรรมในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง
แต่ถ้าสิ้น “อวิชชา” แล้ว ก็จะเป็นวิญญาณธาตุ หรือ ธาตุรู้ หรือ ใจหรือจิตเดิมแท้ ที่บริสุทธิ์จากอวิชชาปลอมปน คือ ไม่มีอวิชชามาผสมปนอยู่ในวิญญาณธาตุอีกต่อไป
เพราะไม่มีอวิชชา หรือ เพราะ อวิชชาดับ เป็นเหตุให้ สังขารกรรม วิญญาณกรรมดับ นามรูปที่เตรียมไปเกิดในภพใหม่ตามกรรมที่หลงยึดถือในปัจจุบันก็ดับ และ เมื่อขันธ์ห้าที่เกิดจากรรมเก่าดับ (ตาย) นามรูป ที่เป็นขันธ์ห้าในภพใหม่ก็ไม่มี
เพราะ วิญญาณธาตุที่สิ้นอวิชชา หรือใช้หนี้กรรมเก่าหมดแล้ว ก็สิ้นกรรมใหม่ จึงดับหายไปเหมือนเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ ไปรวมกับความว่างของจักรวาลเดิม
ผู้ถาม : สรุป ดังนี้ได้ไหมครับว่า วิญญาณกรรม คือ วิญญาณธาตุที่ยังมีอวิชชา ยังหลงอยู่ ยังเป็น รู้ ที่มีอวิชชาครอบงำ ถ้าเผลอขาดสติ สัมปชัญญะ ก็จะไหลไปตาม วงจรปฏิจจสมุปบาท
แต่เมื่อมีสติ ที่รู้ทัน (ปัญญา) ก็จะหยุด ไม่ไหลไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท เป็นรู้ที่เรียกว่าสักแต่รู้ ขณะนั้น อวิชชาก็ดับ ก็จะหยุดวงจรได้ขณะหนึ่ง จนกำลังของสติมีมากขึ้น ก็จะหยุดวงจรได้มากขึ้นตามกำลังของสติ ใข่ไหมครับ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2561